เรื่องวัฒนธรรมการดื่มนั้นเป็นเรื่องสำคัญสำหรับคนญี่ปุ่นมาเนิ่นนานแล้วอย่างที่เรารู้กัน แต่จะถามว่าเริ่มดื่มสาเกมาตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่ทราบแน่ชัด ตามข้อมูลก็สันนิษฐานได้คร่าวๆ ว่าชาวญี่ปุ่นรับเอาวิธีการหมักสุราด้วยข้าวมอลต์มาจากประเทศจีนเมื่อหลายพันปีมาแล้ว และมีบางข้อมูลเรียกสาเกว่า Japanese rice Wine ด้วย
ย้อนกลับไปตั้งแต่ในยุคอาซึกะ (ค.ศ.538 – 710) สาเกนั้นเป็นเครื่องดื่มที่หมักจากข้าว, น้ำ และมอลต์เป็นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ได้รับความนิยมมาก ในสมัยเฮอัง (ค.ศ.794 -1185) สาเกเริ่มถูกใช้ประกอบในพิธีทางศาสนา และผู้คนก็เริ่มดื่มสาเกกันบ่อยขึ้น ในช่วงแรกโรงผลิตเหล้าอยู่ในการดูแลของรัฐบาลเป็นเวลานาน แต่ในคริสต์ศตวรรษที่ 10 เป็นต้นมา ตามวัดและศาลเจ้าก็เริ่มหมักเหล้ากันเอง และก็กลายเป็นสถานที่หลักในการหมักสาเกเป็นระยะเวลานานถึง 500 ปี
ซึ่งมีคำกล่าวหนึ่งตั้งแต่สมัยโบราณที่ว่าบริเวณพื้นที่ๆ มีน้ำอร่อยนั้น จะมีเหล้าที่รสชาติดีด้วย โดยย่านดังกล่าวก็อยู่แถบจังหวัดเฮียวโกะ และเกียวโต ซึ่งเป็นย่านที่ขึ้นชื่อในเรื่องนี้ โดยในคริสต์ศตวรรษที่ 16 ชาวญี่ปุ่นที่เกาะคิวชูรับเอาเทคนิคการกลั่นเหล้ามาจากเกาะริวกิว (โอกินาว่าในปัจจุบัน) เหล้าโชจูที่ชื่อ อิโมะสาเกเริ่มถูกส่งมาขายยังเกียวโต ที่ซึ่งปกตินำเข้าสุราและไวน์ต่างๆ จากประเทศจีน และในคริสต์ศตวรรษที่ 18 สาเกก็กลายเป็นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ได้รับความนิยมสูงมากในญี่ปุ่น
ในยุคสมัยเมจิ มีกฎหมายที่อนุญาตให้บุคคลใดก็ได้ที่มีเงินและรู้วิธีผลิต สามารถสร้างโรงผลิตสาเกเป็นของตัวเองได้ ทำให้มีโรงผลิตสาเกเกิดขึ้นเร็วมาก ในระยะเวลาแค่ 1 ปีก็มี 30,000 กว่าโรงทั่วประเทศ แต่ปีต่อมารัฐบาลก็เรียกเก็บภาษีโรงผลิตสาเกเพิ่มมากขึ้น ทำให้โรงผลิตสาเกลดจำนวนลงเหลือเพียง 8,000 กว่าโรงเท่านั้น
ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 20 เทคโนโลยีการผลิตสาเกก็ขยายตัวเพิ่มขึ้น รัฐบาลได้เปิดสถาบันวิจัยการผลิตสาเกขึ้นในปี ค.ศ. 1904 และในปี 1907 ก็เริ่มจัดการแข่งขันการชิมสาเกขึ้นโดยรัฐบาลญี่ปุ่น
ในประเทศญี่ปุ่น รัฐบาลกลางจะเก็บภาษีสาเก และในปี ค.ศ. 1898 รัฐบาลเก็บภาษีเหล้าสาเกได้มากถึง 55 ล้านเยน จากภาษีทั้งหมด 120 ล้านเยน คิดเป็น 46% ของรายได้จากภาษีของรัฐบาลกลางเลยทีเดียว
ช่วงสงครามรัสเซีย-ญี่ปุ่น ปี ค.ศ.1904-1905 รัฐบาลญี่ปุ่นห้ามไม่ให้ประชาชนผลิตสาเกเองที่บ้าน ในช่วงเวลานั้น เก็บภาษีจากสาเกได้เพิ่มถึง 30% เลยทีเดียว และในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เกิดปัญหาขาดแคลนข้าวในอุตสาหกรรมการผลิตสาเก ชาวญี่ปุ่นจึงได้คิดค้นกรรมวิธีใหม่ๆ ในการผลิตสาเก พยายามเสาะแสวงหาวัตถุดิบและเชื้อหมักที่ใช้เป็นตัวทำปฏิกิริยาเคมีชนิดใหม่ๆ เรื่อยมา ทำให้สาเกของญี่ปุ่นมีลักษณะโดดเด่นเฉพาะตัว จนได้รับความนิยมแพร่หลายมาจนถึงทุกวันนี้
ในปัจจุบันนี้สาเกเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับการบวงสรวงเทพเจ้าในลัทธิชินโต รวมทั้งงานเทศกาลต่างๆ ที่เกี่ยวกับการบูชาเทพเจ้า จะมีการถวายเครื่องเซ่นไหว้ที่เป็นอาหารอร่อยจากทะเล และภูเขาพร้อมด้วยสาเก และจึงขอคำพยากรณ์ เมื่อดื่มและรับประทานเครื่องเซ่นไหว้ส่วนหนึ่งแล้วก็จะมีพิธีส่งเทพเจ้ากลับไปยังที่อยู่บนภูเขา นอกจากนั้นสาเกยังถูกใช้ในวันสำคัญของชีวิตคนญี่ปุ่นด้วย ส่วนรสชาติของสาเกในปัจจุบันก็มีการปรุงรสให้เข้ากับท้องถิ่นนั้นๆ และนิยมดื่มกันในฤดูหนาวที่คนญี่ปุ่นเองมีความเชื่อว่ารสชาติของสาเกนั้นจะอร่อยกว่าฤดูกาลใดๆ
ชนิดของสาเก
สาเกที่เทลงในขวดเหล้าสาเกเรียกว่า ‘kan’ และสาเกร้อนเรียกว่า ‘atsukan’ สาเกอุ่นเรียกว่า ‘nurukan และสาเกที่มีอุณหภูมิปกติเรียกว่า ‘hitohadakan’
ถ้วยสาเก
สาเกบริสุทธิ์ในถ้วยที่สามารถพบได้ในร้านค้าสะดวกซื้อ สาเกราคาถูกที่สามารถทำให้เย็นหรืออุ่นได้ในโรงอาบน้ำสาธารณะ
สาเกในกล่องไม้
สาเกเย็นที่เสิร์ฟในกล่องไม้สี่เหลี่ยมที่เรียกว่า ‘Masu’
วิธีการดื่มสาเก
ในธรรมเนียมญี่ปุ่นถ้าจะดื่มกับคนอื่นต้องรินใส่แก้วคนอื่นด้วยเพื่อเป็นมารยาทที่ดี. และแน่นอนถ้าเราไปดื่มกับคนอื่นเราจะต้องยกแก้วเราขึ้นขณะที่เขากำลังรินสาเกให้เรา ในการถือแก้วนั้นเราจะใช้มือเราข้างหนึ่งถือแก้วแล้วเอาอีกข้างหนึ่งรองใต้แก้วไว้