3 ปี ก่อน ช่วงก่อนปีใหม่ เรากับเพื่อนวางแผนอยากจะขี่มอเตอร์ไซค์เที่ยวที่ไหนสักแห่งที่ไม่ใช่เมืองไทย เพราะได้รับแรงบันดาลใจจาก ภาพยนต์เก่า ซึ่งถูกนำกลับมาฉายใหม่ เรื่อง “The Motorcycle Diaries” ซึ่งฉายในปี 2004 “ถ้าโลกเปลี่ยนคุณ คุณก็เปลี่ยนโลกได้” ชื่อภาษาไทยนี่เหมือนฮีโร่กอบกู้โลกเลย แต่พวกเราคงไม่มีพลังอะไร ที่ยิ่งใหญ่พอขนาดจะเปลี่ยนแปลงโลกได้หรอก นอกจากเปลี่ยนแปลงจิตใจและความเคยชินของตัวเองในทุกๆ วัน ดังนั้นภารกิจเล็กๆ ของเรา ก็แค่เพียงออกไปเรียนรู้ตัวเองกับสิ่งต่างๆ รอบตัวที่ไม่คุ้นเคย แค่นั้น!!!!

ภารกิจในภาพยนต์คือ : สำรวจทวีปที่ตัวเองเคยรู้จักแค่ในหนังสือเท่านั้น
เป้าหมาย : 8,000 กิโลเมตร ในเวลา 4 เดือน
ยานพาหนะ :  Norton 500 รุ่น 1939
วิธีการ : ไปตายเอาดาบหน้า

หลังจากดูหนังจบ แรงบันดาลใจเล็กๆ บน 2 ล้อ ก็ก่อตัวขึ้นในหัวใจ เราสรุปง่ายๆ เลย คือ ปากเซ ลาวใต้
ด้วยข้อจำกัดด้านการสื่อสารที่อ่อนด้อย ค่าใช้จ่ายที่ไม่สูงเกินไป เส้นทางเหมาะกับการขี่มอเตอร์ไซค์ เราจึงปักหมุดที่นี่!!!!

ภารกิจในชีวิตจริงคือ : ท่องเที่ยวเส้นทางปากเซ ลาวใต้
เป้าหมาย : เส้นทางในปากเซ ประมาณ 450 กม. เวลา 3 วัน
ยานพาหนะ : แล้วแต่ทางร้านจะมีให้เช่า
วิธีการ : ไปตายเอาดาบหน้า

หลังจากกำนดวันเดินทาง และ จองตั๋วรถ บขส. กรุงเทพฯ หมอชิต – ปากเซ แล้ว แผนว่าจะไปไหนก็ไม่มีทั้งนั้น เรารู้แค่ว่าที่นั้นมีอะไรเที่ยว ส่วนเส้นทางค่อยไปวัดกันเอาหน้างาน เพราะถ้ามีเส้นทางเราที่แน่นอน เราก็อาจจะไม่ได้หลงทาง ซึ่งการหลงทางนี่แหละ อาจจะทำให้เราได้เจออะไรแปลกใหม่ หรือ ไม่มีอะไรเลยก็ได้!!!!!

วันเดินทาง
รถโดยสารออกจากหมอชิตเวลา 21.00 น. เดินรถผ่านด่านช่องเม็ก จังหวัดอุบลราชธานี ระยะทางรวม  790  กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางประมาณ  11  ชั่วโมง  30  นาที ถึงด่านก็ประมาณ 8 โมงกว่าๆ หลังจากนั้นลงจากรถบัสเพื่อดำเนินการกับฝั่ง ตม. สปป ลาว

วันที่สอง
จากฝั่งไทยให้ลอดอุโมงค์ลงไปดำเนินการทางเอกสารภายใน หลังจากเสร็จสิ้น ก็โผล่ขึ้นอีกฝั่งก็เป็นสามารถเหยียบแผ่นดินของ สปป.ลาว แล้ว หลังจากขึ้นจากอุโมงค์ก็เดินไปรถบัสที่เรานั่งมาตอนแรก ซึ่งจะจอดรถเราอยู่ เพื่อเดินทางเข้าไปในตัวขนส่งในตัวเมืองปากเซ

จากด่านช่องเม็กใช้เวลาอีกประมาณ 45 นาที ถึงขนส่ง หลักจากจัดแจงกระเป๋าใต้ท้องรถบัสแล้ว แผนต่อไปคือ หาที่พัก และ รถมอเตอร์ไซค์เช่า ซึ่งไม่ต้องห่วงว่าจะถามใครไม่ได้เพราะแค่คุณลงจากรถบัส ก็จะมีรถรับจ้างสารพัดเข้ามาไถ่ถามด้วยความเป็นห่วงคุณแบบที่ไม่ได้ตั้งตัวเลย มีพี่สามล้อมาไถ่ถาม เราเลยบอกสิ่งที่ต้องการไปว่า ที่พัก+รถเช่า มีร้าน
รอบๆ ที่พัก พี่สามล้อบอก ขึ้นรถเลยอ้ายยย……..สามล้อพามาที่ อลิสา เกสเฮ้าส์ ซึ่งก็มีครบตามที่เราต้องการ ใครสนใจลองติดต่อได้ครับ www.alisa-guesthouse.com

หลังจากติดต่อที่พัก ซึ่งเราเช่าทิ้งไว้ก่อน 2 คืน เพราะคืนที่ 3 เราจะไปหานอนที่อื่น แต่ก็ยังไม่รู้ที่ไหน และติดต่อเช่ามอเตอร์ไซค์กับทางเกสเฮ้าส์เลย รถที่เราได้ก็จะอะไรสะอีกละ ฮอนด้าเวฟ 110 ไง…ฮ่าๆๆๆๆ ส่วน HD48 ของเจ้าของเกสเฮ้าส์เขาไม่ให้เช่า เอามาจอดไว้เฉยๆ เลยยืมมาถ่ายรูปโชว์สักหน่อย การเช่ารถที่นี่ก็ให้เช่า 24 ชม..ย้ำ 24 ชม. จริงๆ  เช่าบ่ายโมงก็คืนบ่ายโมงเท่านั้นเอง คุ้มสุดๆ

หลักจากเข้าที่พัก เติมพลังกับเฝอปากเซ ตรงโรงแรมลานคำที่อยู่ไม่ไกลจากเกสเฮ้าส์ของเราเท่าไหร่  เผลอแป็บดียวเวลาก็ล่วงเลยไปบ่ายโมงกว่าแล้ว เหลือเวลาอีกไม่นานก่อนที่จะพลบค่ำ วันแรกของเราเลยคงเที่ยวน้ำตกซึ่งต้องขี่รถขึ้นไปทางปากซอง ทางเกสเฮ้าส์บอกว่าน่าจะไปกลับได้ในเวลาไม่มาก ระยะทางไปกลับประมาณ 70 กม.

ตาดถ้ำจำปี เป็นน้ำตกแรกที่เราขี่มอเตอไซค์ฝ่าแดดร้อนยามบ่ายไปเยี่ยมชม ถนนทางเข้าก็ทุรกันดาร เสี่ยงยางรั่ว แต่โชดดีรถที่เราเลือกมาดอกยางยังหนาอยู่ ตลอดเส้นทางที่เราขี่เข้ามาก่อนถึงน้ำตก เกือบทุกบ้านจะปลูกกาแฟและมีเมล็ดกาแฟตากแดดอยู่หน้าบ้าน ขี่เข้าไปอีกไม่ไกลก็ถึงจุดเก็บเงิน ค่าเข้าคนละ 5,000 กีบ ค่ารถคันละ 5,000 กีบ  น้ำตกตาดถ้ำจำปีเป็นน้ำตกที่มี่ขนาดไม่ใหญ่มาก ตกจากหน้าผาประมาณ 5 เมตร บริเวณด้านล่างสามารถลงเล่นน้ำได้ มีเชือกกับแพไม้ให้ลากเข้าไปใกล้ๆ น้ำตกได้

ที่ต่อไปเราขี่ย้อนกลับมาที่น้ำตกตาดเยื้อง เป็นน้ำตกที่สวยงามแห่งหนึ่งของแขวงจำปาสัก ช่วงที่ไปอาจน้ำไม่เยอะมาก แต่ก็ได้ความสวยงามไปอีกแบบหนึ่ง น้ำตกสายยาวไหลลงสู่พื้นด้วยความสูง 500 เมตร แตกกระจายเป็นละอองกระทบกับแสงแดดเกิดเป็นรุ้งขนาดย่อมๆ ให้เราได้ชื่นชมอีกด้วย แถมจุดชิมวิวสะพานไม้ก็ยังสวยงามเวลาต้องแดดยามบ่าย ค่าเข้าคนละ 5,000 กีบ

นอกจากน้ำตกตาดเยื้องที่สวยน่าประทับใจแล้ว ทีเด็ดที่ไม่ควรพลาด เป็นส้มตำลาวที่แซ่บนัวด้วยปลาร้าปรุงสุกด้านหน้าก่อนเข้าน้ำตก รสชาติกลมกล่อมไม่เผ็ดจัดหรือเปรี้ยวโดดเกินไป กินแกล้มกับหมูย่างที่หมักด้วยเครื่องหมักสูตรพิเศษในโถขนาดใหญ่ รสชาติหอม นุ่ม มีกลิ่นหอมไหม้ของข้าวเหนียวดำ กินกับข้าวเหนียวร้อนๆ นุ่มๆ หุงใหม่ อร่อยอย่าบอกใคร

หลังเติมพลังลูกข้าวเหนียวจนอิ่มท้อง ก็ไปต่อที่ น้ำตกตาดอีตู้ น้ำตกขนาดใหญ่มีน้ำไหลแรงจากหน้าผาสูง เป็นน้ำตกชั้นเดียว ไม่เหมาะแก่การลงเล่นน้ำ เพราะบริเวณด้านล่างน้ำตกตาดอีตู้เป็นแอ่งลึก และไหลลงมาแรง แต่ช่วงที่เราไปน้ำน้อย เราเลยสามารถเดินดูตามแอ่งหินได้ แต่กว่าจะเดินลงมาถึงน้ำตกก็เรียกเหงือได้ไม่น้อย เพราะเป็นทางลงเขา ไม่อยากคิดถึงเวลาเดินขึ้นในขากลับเลยจริงๆ แต่ยังดีมีบันไดปูนจึงทำให้การขึ้นลงสะดวกขึ้นมาหน่อย ในบริเวณน้ำตกมีที่พักและอาหารบริการด้วย ค่าเข้าคนละ 5,000 กีบ

 

ไปได้แค่ 3 น้ำตก ท้องฟ้าก็เริ่มหลัวๆ หม่นๆ ยังดีที่ดวงอาทิตย์ยังเหลือเรี่ยวแรงให้แสงสว่างเราบ้าง เราเลยขอพอแค่นี้ก่อนดีกว่า เพราะยังต้องเผื่อเวลาขี่กลับที่พักกันอีก ถึงเส้นทางจะไม่คดเคี้ยว แต่การขี่รถในเวลากลางคืนในเส้นทางที่ไม่คุ้นเคย ก็อาจเป็นอันตรายได้

วันที่สาม
เริ่มต้นการเดินทางวันที่ 3 เติมพลังให้กับร่างกายด้วยเฝออีกสักมื้อ ตบด้วยขนมปังฝรั่งเศสตาม ออกอาการจุกมากกว่าอิ่ม วันนี้เรามีเวลาเดินทางมากกว่าเมื่อวานเราจะขี่ออกนอกเมืองกันไปที่ ปราสาทหินวัดพู ซึ่งเป็นจุดหมายปลายทางเดียวของวันนี้ ระยะทางไปกลับประมาณ 86 กม. เราโชดดีได้ 2 สาวนักศึกษาลาวที่เจอกันในปั๊ม ซึ่งเขาอาสานำทางเราเพราะเขาจะไปที่ปราสาทหินวัดพูพอดี ด้วยความเร็ว 35 กม./ชม. ที่ 2 สาวนักศึกษาลาวนำทาง ทำให้เราใช้เวลาไปพอสมควรในขาไป แต่ด้วยความมีน้ำใจและรอยยิ้ม นานกว่านี้ พี่ก็ยอมหมดใจ..

กว่าจะไปถึงจุดหมายก็ใช้เวลาพอสมควร ปราสาทวัดพู เป็นโบราณสถานในประเทศลาว ซึ่งเป็นมรดกโลกแห่งที่สองของประเทศลาว เป็นโบสถ์พราหมณ์ที่สร้างถวายพระศิวะ ตั้งอยู่บนเนินเขาภู หรือเรียกกันว่าภูควาย ห่างจากตัวเมืองเก่าจำปาศักดิ์ประมาณ 6 กิโลเมตร ลักษณะของปราสาทเป็นเทวสถานขอม คล้ายกับเขาพระวิหาร สร้างในราวพุทธศตวรรษที่ 12 ในสมัยของพระเจ้ามเหนทรวรมัน ถือว่าเป็นปราสาทหินที่มีอายุเก่าแก่ที่สุด ค่าเข้าคนละ 5,000 กีบ

หลังจากเดินเที่ยวชมปราสาทหินวัดพู ซึ่งต้องใช้เวลาพอสมควร แถมเราไม่ได้พกน้ำดื่มขึ้นไปอีก ขากลับดูจากเวลายังเหลือเหลือ ที่จะไม่มืดจนเกินไป เลยขับออกนอกเส้นทางไปหาร้านค้า หาเครื่องดื่มเย็นๆ แก้กระหายกันสักหน่อย สุดท้ายเพราะฤทธิ์เครื่องดื่มหรือเนวิกเกเตอร์ไม่ทำงาน ดันขี่วนไปวนมาหลงทางไปไหนก็ไม่รู้ กว่าจะหาทางออกก็เสียเวลาแถมน้ำมันก็ใกล้หมดอีก แต่โชคก็เข้าข้างเราเสมอ มีปั๊มน้ำมันมือหมุนอยู่ไม่ไกล สุดท้ายรีบบิดหมดปลอกกลับมาทันได้ดูพระอาทิตย์ตกที่สะพานลาว-ญี่ปุ่น พอดี

วันที่ 4
วันนี้ เราเก็บข้าวของที่จำเป็นสำหรับ 1 คืน ส่วนกระเป๋าใบใหญ่ฝากไว้กับทางเกสเฮ้าส์ วันนี้เรามีแผนเดินทางไป น้ำตกคอนพะเพ็ง หาที่พัก และ ข้ามไปเที่ยว ดอนเดด ดอนคอน น้ำตกหลีผี ระยะทางจาก ปากเซไป น้ำตกคอนพะเพ็ง ไปอย่างเดียวประมาณ 150 กม. เตรียมของพร้อมออกเดินทางกันเลย เส้นทางเส้นนี้ขี่สนุก มีช่วงโค้งที่รับกับการขับขี่ เส้นตรงก็เร่งได้โดยไม่ต้องกลัวรถใหญ่ เพราะรถน้อยมากจริงๆ

หลังจากขับมาสักพักก็ถึง น้ำตกคอนพะเพ็ง น้ำตกขนาดใหญ่และมีชื่อเสียงแห่งหนึ่งในภูมิภาคอินโดจีน น้ำตกคอนพะเพ็งเป็นน้ำตกที่มีหลายชั้น ตั้งอยู่บนแก่งหินขนาดใหญ่ขวางกั้นเส้นทางการไหลของแม่น้ำโขงทั้งสาย มีลักษณะต่างระดับกันสูงประมาณ 10 เมตร จัดเป็นน้ำตกที่ได้รับน้ำจากแม่น้ำโขงตอนล่าง น้ำตกคอนพะเพ็งมีความสูง 21 เมตร กระแสน้ำไหลเชี่ยว 9.7 กิโลเมตร ปริมาณน้ำตกลงมาด้วยความเร็วประมาณ 11,000 ลูกบาศก์เมตร/วินาที แม้ว่าปริมาณสูงสุดในบันทึกได้ถึงกว่า 49,000 ลูกบาศก์เมตร/วินาที น้ำตกคอนพะเพ็งได้รับฉายาว่า “ไนแอการาแห่งเอเชีย” ตั้งอยู่ในแขวงจำปาศักดิ์ ประเทศลาว ห่างจากเมืองปากเซประมาณ 150 กิโลเมตร เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ขึ้นชื่อและสวยงามมากแห่งหนึ่งของประเทศลาว โดยคำว่า “คอน” หมายถึง “แก่ง” หรือ “เกาะ” “พะเพ็ง” หมายถึง “พระจันทร์วันเพ็ญ” เสียงน้ำดังกังวาลมาก ช่วงนี้น้ำน้อย เราเลยสามารถเดินลงไปใกล้ชิดกับสายน้ำที่ไหลเชี่ยวได้

ออกจากน้ำตกคอนพะเพ็งก็ขี่ต่อไปยังบ้านนากะสัง ระหว่างทางก็พยายามมองหาที่พักก็ไปได้บ้านไม้เก่าติดป้ายเป็นเกสเฮ้าส์ สภาพพออกจะน่ากลัว แต่ชายโสดสองคนค่ำไหนนอนนั่นได้อยู่แล้ว แถมราคาไมม่แพงด้วย เลยจัดการเอาข้าวของเก็บเข้าที่พัก ลูบหน้าลูบตาด้วยน้ำสีขุ่นให้สดชื่น สตาร์ทรถขี่ต่อไปยังท่าเรือบ้านนากะสัง ระหว่งทางเห็นเวทีงานคล้ายรำวงและร้านต่างๆ กำลังเตรียมงานอยู่ข้างทางกลางทุ่งนาผืนกว้างใหญ่ที่คั่นด้วยคันนาเป็นแนว คืนนี้มีที่เที่ยวแล้วเรา….

เราขับต่อไปเรื่อยๆ จนถึงบ้านนากะสัง หาติดต่อเรือที่สามารถพาเราและรถมอเตอร์ไซค์ข้ามไปขี่เล่นกันที่ ดอนเดช ดอนคอน ได้

ติดต่อไม่นาน เราได้หนุ่มเวียดนาม ที่เคยผ่านการทำงานในประเทศไทย ปัจจุบันมาขับเรือทำงานที่ สปป. ลาว มารับไปส่ง ส่วนขากลับ หนุ่่มเวียดนามมบอกว่าจะให้คนรู้จักมารับตอน 6 โมงเย็น เพราะเขาต้องแต่งตัวรับสาวไปเที่ยวงานดนตรีที่เราขับผ่านมา…..

ถึงแล้วบ้านดอนเดช แต่ต้องขี่เข้าไปยังบ้านดอนคอนเพื่อชม น้ำตกหลี่ผี มหาสีพันดอน

เส้นทางที่เราขี่เข้าไปยังเป็นธรรมชาติอยู่มาก มีหลุม มีบ่อ คอยดักผู้เดินทาง แถมตลบอบอวลด้วยกลิ่นมูลควายและกลิ่นหญ้าแห้งโชยตลอดทาง สดชื่นๆๆๆๆๆ

ระหว่างทางจะเจอชาวต่างชาติสะส่วนใหญ่      สบายดี……แวร์ยูโก มาดาม…..

ทางเข้าชมน้ำตกหลีผี และ หาดทรายดอนคอน

มาถึงแล้ว…น้ำตกหลี่ผี  ตั้งอยู่ในเขตดอนคอนคำว่า หลี่ผี แปลว่า หลี่ เป็นเครื่องมือจับปลาของชาวลาวและผีก็คือศพ ของคนที่ได้ตกน้ำตายจากแม่น้ำโขงจะมาตกและติดกับหลี่ของชาวบ้านที่หาปลาแถวๆ นี้รวมกันเป็นหลี่ผีนับตั้งแต่นั้นมาน้ำตกแห่งนี้ จึงมีนามว่าน้ำตกหลี่ผีช่วงที่เหมาะสมแก่การเที่ยวชมคือเดือนตุลาคม-พฤศจิกายนเพราะคุณจะเห็นสายน้ำจำนวนมากในแก่งหลี่ผีที่ไหลถาโถมผ่านเนินหินโขดหินลงมาด้วยกำลังแรงแตกเป็นละอองสีขาวไปทั่วแก่งดูสวยงามตื่นตามาก

เดินจากน้ำตกหลี่ผีลงไปหาดทรายกว้าง สามารถยืนชมพระอาทิตย์ตกขอบทิวไม้เขียวสด เคล้าสายน้ำไหลเอื่อยๆ เพลินตาเพลินใจดี

ขาขี่กลับมานั่งเล่นชิลชิลก่อนเวลานัดคนเรือที่ สะพานสัมพะมิด สะพานที่ฝรั่งเศสมาสร้างไว้ เชื่อมระหว่างดอนเดดกับดอนคอน เพื่อขนส่ง ส่งเรือ ผ่านทางรถไฟในสมัยก่อน

สุดท้ายคนเรือที่นัดไว้ 6 โมงเย็น ก็มารับเรา ขากลับเราได้ปล่อยอารมณ์ให้ทอดไหลไปกับแสงสีส้มอมม่วงตุ่น กระทบผิวน้ำที่เคลื่อนตัวตามแรงลมโชยอ่อน นกที่หมดการทำหน้าที่ของมันบินกลับรังอย่างจอแจเต็มท้องฟ้า แสงไฟจากฝั่งบ้านนากะสังที่เริ่มติดเป็นดวงเล็กๆ ช่างเป็นภาพที่น่าจดจำ

ระหว่างขากลับไปยังบ้านพัก เรามีนัดกับงานดนตรีบ้าน บ้าน สไตล์ สปป. ลาว กับ วงดนตรี สายสัมพันธ์

ในงานก็จะคล้ายงานวัดบ้านเรา มีขายของพวกผลไม้ เครื่องเล่นเด็ก ปาโป่ง ยิงปืน และมีโต๊ะให้นั่งดูดนตรีและซื้ออาหารและเครื่องดื่ม

แต่โดยทั่วทั้งงานจะมีการเล่น น้ำเต้า ปู ปลา เสือ ไก่ สารพัดสัตว์…กระจายอยู่ทั่วหลายจุด หน้าตาแต่ละคน ดูมีความสุขสนุกสนานมาก เงินที่ได้หรือเสียก็ไม่ได้มากมายอะไรนัก

สรุปถ้าเราจะนั่งโต๊ะ เราต้องซื้อเบียร์ 1 ลัง ราคาประมาณ 600 บาท ซึ่งเรามา 2 คน……เราเลยจัดการลากมายกลัง เบา เบา ครับ สำหรับคืนสุดท้าย เพลงส่วนใหญ่จะเป็นเพลงแดนซ์ลูกทุ่งแบบไทยๆ แต่ก่อนจะบรรเลงเพลง ก็จะมีขายสินค้าของผู้จัดก่อน และถ้าจะให้ดนตรีเล่นต้องมีการเปิดฟลอร์โดย จ่ายนางรำค่าเปิดฟลอร์ 5 คน ถึงจะเริ่มแดนซ์ได้ พอเปิดฟลอร์ไปสักครึ่งเพลง คนรอบนอกที่ยืนดูก็เข้ามาเต้นสุดเหวี่ยงกันจนฝุ่นตลบไปทั่วทั้งงาน เป็นบรรยากาศที่สนุกไปอีกแบบ

รอบๆ โต๊ะเราเป็นคนลาวหมด ยกเว้นโต๊ะฝรั่งที่นั่งใกล้ๆ กัน แต่ที่เด็ดสุดของงานคือ ห้องน้ำ ซึ่งจะอยู่ตามแนวคันนา สะดวกแนวคันนาไหนก็จัดไปตามสะดวกใจ เรากินถึงประมาณเที่ยงคืนก็ต้องขอร่ำลางานในคืนนี้ด้วยคำกล่าว ราตรีสวัสดิ์ เพราะพรุ่งนี้ต้องขี่กลับไปยังเกสเฮ้าส์เพื่อนำสัมภาระและรถเช่าคืนทางเกสเฮ้าส์

วันสุดท้าย
เราตื่น 8 โมง เก็บข้าวของซึ่งมีไม่เยอะ ห้อตะบึงกลับมายังตัวเมืองปากเซเพื่อคืนรถและเก็บสัมภาระที่ฝากไว้ และเผื่อเวลาสำหรับกินข้าวอีกสักหน่อย รถบัสที่เราจองออกเวลา 16.00 น.  ปากเซ – กรุงเทพฯ หมอชิต ถึงทริบเล็กๆ ของเราในครั้งนี้ จะไม่ยิ่งใหญ่หรือเปลี่ยนแปลงอะไรในโลกใบนี้ได้ แต่มันก็ทำให้เราเรียนรู้ที่จะอยู่กับสิ่งต่างบนโลกได้อย่างมีความสุข

views