Architectural Review: “ตึกนี้มีความเป็นไทยผสมอยู่ไหมนะ?”
ตั้งแต่มาอยู่เมืองไทย ผมมีโอกาสได้ลองไปสำรวจตึกต่าง ๆ มากมาย และมักจะสังเกตว่า “มีส่วนไหนของอาคารที่ดูเป็นไทยไหมนะ” แต่ถึงแม้ว่าผมจะพยายามมองหาอะไรที่เป็นไทย เกณฑ์ที่ผมเลือกใช้ส่วนใหญ่ก็จะมี “ความเป็นญี่ปุ่น” อยู่ด้วย เพราะไทยและญี่ปุ่นล้วนแล้วแต่เป็นประเทศกลุ่มเอเชียเหมือนกัน จึงทำให้มีหลายสิ่งที่คล้ายคลึงกันและทำความเข้าใจได้ง่าย
การออกแบบอาคารนั้นจะต้องใช้องค์ประกอบหลาย ๆ อย่าง ทั้งภูมิหลังในเชิงวัฒนธรรม ความตั้งใจของนักออกแบบ สภาพภูมิอากาศ หรือแม้แต่วิธีการก่อสร้าง
หากทำเลหรือที่ตั้งเปลี่ยน สภาพแวดล้อมของทำเลนั้น ๆ ก็จะมีผลต่อการออกแบบด้วยเช่นกัน เวลาที่ผมเห็นการออกแบบของแต่ละที่ แล้วสามารถมองออกว่าอะไรที่แทรกซึมอยู่ในการออกแบบนั้น ผมก็จะรู้สึกดีใจมาก ๆ เลยครับ
“Open Space แบบมีหลังคา” คือ สิ่งแรกที่ผมคิดว่าแสดงถึงความเป็นไทย
ส่วนตัวนั้น ผมค่อนข้างสนใจพื้นที่ศูนย์อาหาร ไม่ว่าจะเป็นวิธีการจัดวางโต๊ะ การจัดตำแหน่งร้านอาหารโดยรอบ รวมไปถึงบรรยากาศตอนช่วงกลางวันที่เหล่าพนักงานออฟฟิศซื้ออาหารจากแต่ละร้านมานั่งกินด้วยกันที่โต๊ะ อย่าง The Commons Thonglor ที่ผมมองว่าเป็นการพัฒนาคอนเซ็ปท์จากศูนย์อาหารให้กลายเป็นคอมมูนิตี้มอลล์
ภายในคอมมูนิตี้มอลล์แห่งนี้ มีการวางโต๊ะและเก้าอี้ไว้ตามบริเวณบันไดและพื้นที่โล่งซึ่งใช้เป็นพื้นที่ส่วนรวม บนเพดานมีพัดลมขนาดใหญ่ และมีเครื่องทำความเย็นติดตั้งอยู่ในแต่ละจุดด้วย ทำให้รู้สึกว่าเป็นการคิดมาอย่างดีแล้วและสร้างขึ้นเพื่อให้เหมาะสมกับการเป็นพื้นที่กึ่งเอาท์ดอร์ด้วย
บริเวณพื้นที่ส่วนรวม ทุกคนจะซื้ออาหารจากร้านที่ตัวเองอยากกินมานั่งที่บริเวณนี้ด้วยกัน ซึ่งวิธีนี้เป็นวิธีเดียวกันกับศูนย์อาหารแต่จะดูดีมากกว่า และด้วยความที่โครงสร้างตึกเป็นรูปแบบ 3 มิติไม่ซ้อนทับกัน ทำให้ไม่ว่าจะมองจากด้านบนหรือจากด้านล่างก็สามารถเห็นภาพรวมที่ดูมีชีวิตชีวานี้ได้
การออกแบบอาคารหลายแห่งมีการผสมผสานความเป็นไทยไว้ค่อนข้างเยอะ อย่างเรื่องการสร้างพื้นที่ขนาดใหญ่ที่ให้ความรู้สึกโปร่งสบาย โดยการสร้างพื้นที่ใต้หลังคาให้มีพื้นที่กว้างไว้ก่อน แล้วจึงค่อยหาร้านอาหารเข้ามาทีหลัง สำหรับผมแล้วถือเป็นหนึ่งในภูมิทัศน์แบบไทย ๆ อย่างศูนย์อาหารที่พูดถึงก่อนหน้านี้
อีกหนึ่งที่คือ POWWOWWOW BKK คอมมูนิตี้มอลล์ที่เพิ่งสร้างเสร็จปีนี้ ภายในมีระเบียงและมีร้านอาหารเล็ก ๆ อยู่มากมาย พื้นที่ส่วนด้านนอกเป็นพื้นที่ส่วนรวมสำหรับพักผ่อน ด้วยความที่พื้นที่ของร้านแต่ละร้านมีขนาดเล็กจึงช่วยลดภาระให้กับผู้เช่าพื้นที่ได้ อีกทั้งยังเป็นการเพิ่มความหลากหลายของร้านอาหารให้กับพื้นที่อีกด้วย ผมคิดว่าเป็นการออกแบบอาคารที่ใส่ใจรายละเอียดมาก ๆ
Architectural Review: การจัดพื้นที่อย่างเรียบง่ายด้วยวิธีการเชื่อมโลหะ
สิ่งที่ทำให้อาคารดูโล่งคือการเชื่อมเสาเหล็กเข้ากับโครงหลังคา ถือเป็นการจัดพื้นที่อย่างเรียบง่ายด้วยวิธีการเชื่อมโลหะ สิ่งนี้ช่วยทำให้ร้านโดดเด่นและมีเอกลักษณ์มากขึ้น ซึ่งสำหรับประเทศญี่ปุ่นที่มีแผ่นดินไหวบ่อยครั้งนั้น การสร้างอาคารโดยการเชื่อมโลหะแบบนี้ค่อนข้างทำได้ยาก
โรงแรม Holiday Inn ซึ่งอยู่ใกล้สถานีรถไฟฟ้าสถานีชิดลม ก่อสร้างมาตั้งแต่ปี ค.ศ.1976 ส่วนของฟาซาด (Facade) หรือ องค์ประกอบด้านหน้าอาคารนั้นออกแบบให้มีความเป็นกราฟฟิก โดยเน้นเรื่องแสงและเงา
จุดที่ดูมีความเป็นไทย คือ ชายคายื่นออกไม่มากเมื่อเทียบกับที่ญี่ปุ่น อาจเพราะตั้งอยู่ตำแหน่งละติจูดที่ต่างกัน 20 องศา และประเทศไทยเป็นประเทศที่แดดค่อนข้างแรง ทำให้การดีไซน์เรื่องการรับแสงมีความแตกต่างกับญี่ปุ่นเล็กน้อย ซึ่งดูเหมือนว่าการออกแบบที่ญี่ปุ่นจะเน้นเรื่องการเข้าถึงของแสงธรรมชาติมากกว่า
ในประเทศไทยมีอาคารมากมายที่แฝงความเป็นไทยไว้ด้วย แต่ไม่ว่าจะอาคารไหนหรือใครเป็นคนออกแบบ แต่ละที่ก็ล้วนเป็นการสร้างพื้นที่ที่เหมาะกันภูมิอากาศและวัฒนธรรม การที่เราออกไปเดินเล่นด้วยความคิดที่ว่า “ตึกนี้มีความเป็นไทยผสมอยู่ไหมนะ?” ผมว่ามันก็สนุกไปอีกแบบครับ
ในประเทศไทยมีอาคารมากมายที่แฝงความเป็นไทยไว้ด้วย แต่ไม่ว่าจะอาคารไหนหรือใครเป็นคนออกแบบ แต่ละที่ก็ล้วนเป็นการสร้างพื้นที่ที่เหมาะกันภูมิอากาศและวัฒนธรรม การที่เราออกไปเดินเล่นด้วยความคิดที่ว่า “ตึกนี้มีความเป็นไทยผสมอยู่ไหมนะ?” ผมว่ามันก็สนุกไปอีกแบบครับ
บทความครั้งนี้เป็นบทความสุดท้ายก่อนที่ผมจะเดินทางกลับญี่ปุ่น ขอบคุณผู้อ่านทุกท่านที่คอยติดตามครับ หลังจากนี้ ทุกคนสามารถติดตามภาพสถาปัตยกรรมทั้งไทยและญี่ปุ่นได้ทาง SNS ของผมได้เลยนะครับ
“Bangkok Sequencity ภาพถ่ายกรุงเทพฯ กับบรรยากาศที่เหมือนฉากในละคร” คลิก