ปีนี้ก็ได้ฤกษ์ไปดูคอนเสิร์ตประจำปีอีกครั้ง หูย ตื่นเต้น โดยปีนี้เราตรงไปดูคอนเสิร์ต NEWS ที่ Hiroshima ที่มีคนพูดกันว่านอกจากสถานที่จัดจะเล็กแล้วยังใกล้ชิดกับศิลปินด้วย อีกทั้งยังเป็นโอกาสดีได้เดินเที่ยวรอบๆเมืองด้วย เพราะสถานที่จัดกับจุดท่องเที่ยวไม่ไกลจากกันมากนัก


ได้เวลาออกเดินทาง

แล้วก็มาถึงวันเดินทางที่รอคอย ที่ทำเราเปลืองพลังงานพอควร ด้วยความประหยัดงบ สภาพอากาศและตารางเวลา เลยได้วนเวียนอยู่ที่สนามบินต่างๆ ครบ 24 ชั่วโมง

หลังจากลงเครื่องบินที่สนามบินฮิโรชิม่า เรานั่ง Hiroshima Airport limousine bus  เข้าเมือง และต่อรถรางเพื่อไปที่พักอีกประมาณชั่วโมงกว่าๆ ค่ะ


สนุกกับคอนเสิร์ตที่ Hiroshima Green Arena

เช้าวันคอนเสิร์ต เราเช็คเอาท์จากที่พักแรก และไปหาที่ฝากกระเป๋าเดินทางที่สถานีคามิยะโจ เป็นศูนย์รวมห้างสรรพสินค้า มีตู้ล็อคเกอร์หยอดเหรียญหลากหลายขนาด การเดินทางภายในตัวเมืองใช้รถราง และรถบัสเป็นหลัก

ทั่วถึงจุดสำคัญๆ ทั้งหมด สามารถใช้ IC Card และจ่ายเงินด้วยเหรียญได้

เรารีบตรงไปที่สถานที่จัดคอนเสิร์ตเพื่อซื้อสินค้าประจำคอนเสิร์ต หรือที่เรียกกันปกติว่า “ของหน้าคอน” และนัดแนะกับเพื่อนอีกคนที่มาเที่ยวแถบชูโกกุพอดีและมาดูด้วยกัน

หลังจากซื้อของเสร็จด้วยความเร็วแสง คนไม่เยอะนักเพราะมีขายตั้งแต่วันก่อน สิ่งใหม่ปีนี้จ่ายด้วยบัตรเครดิตได้ ซื้อแล้วได้ใบเสร็จที่มีโลโก้ด้วย เหมือนว่าค่ายเริ่มใช้มาตั้งแต่กลางๆ ปีก่อน

หน้าตาของและอาวุธ (?) ที่เราจะนำเข้าไปดูคอนกันในวันนี้

ซื้อของเรียบร้อย ก็ไปถ่ายรูปกับป้ายคอนกันต่อ รถสีส้มกับแผ่นป้าย NEWS Arena tour 2018 จอดอยู่บริเวณหน้าฮอลล์ บรรยากาศคึกครื้น สาวๆมากันเป็นคู่ เป็นกลุ่ม แฟนบอย ครอบครัว เด็กๆ ผลัดกันเข้าไปถ่ายรูป พูดคุยกันสนุกสนาน


มือใหม่ตั๋ว QR code

ปีนี้ตั๋วคอนเสิร์ตของ NEWS ใช้ระบบ QR code เป็นปีแรกไม่รู้ที่นั่งล่วงหน้า พวกเราจึงมาถึงหน้าฮอลล์ด้วยใจเปี่ยมหวัง และตื่นเต้นระคน (หัวเราะ) โดย QR code จะส่งมาก่อนวันคอนเสิร์ต 3 วันทางอีเมล เราสามารถล็อคอินเข้าไปดูก่อนได้

ในหน้า Digital Ticket นอกจาก QR code ที่มีตัววิ่งๆ เพื่อป้องกันการเซฟภาพหน้าจอมาแล้ว ก็มีระบุรายละเอียด ได้แก่ สถานที่ วัน-เวลาเปิดให้เข้า เวลาเริ่มแสดง จำนวนบัตร เลขที่สมาชิก และเลขที่บัตร (管理番号)

เป็นตัวอักษรกับตัวเลขมาให้ ซึ่งก็เดาอะไรไม่ได้

ในเว็บไซต์ต่างๆ ก็มีคนพยายามเดาวิธีหาตำแหน่งที่นั่งกันหลากหลายวิธี แต่ได้มาลุ้นที่นั่งหน้างานก็สนุกดีเหมือนกัน

นั่งเมาท์มอยกันพักใหญ่ๆ ก็ถึงเวลาเข้าฮอลล์ เลยพากันเดินไปดูตรงทางเข้าที่ใกล้เราที่สุด…

“ที่ป้ายกระดาษไม่มีตัวอักษรของเรา”

“อ้าว !”

เข้าใจว่าถ้าเป็นฮอลล์ใหญ่ จะมีบอก gate ที่ต้องเข้าในรายละเอียดด้วย แต่นี่ไม่มี ก็เลยวิ่งไปดูชั้นล่างกัน

เอ๊ะโอววว มี 2 กลุ่มตัวอักษรได้เข้าทางนี้

“ชั้นได้อารีน่าแน่ๆ”

แต่ยังไม่เชื่อจนกว่าจะได้เห็นที่ตั๋วจริงๆ (หัวเราะ)


พอถึงประตูทางเข้าจะมีพนักงานนำสมาร์ทโฟนของเราไปอ่าน QR code และออกตั๋วกระดาษให้ หน้าตาเหมือนใบเสร็จที่มีลายด้านหลัง แบบนี้

จากนั้นก็เข้าไปหาที่นั่งกัน พอเห็นที่นั่งสมใจ ก็วีดว้ายกันนิดหน่อย และยังได้ยินเสียงกรี้ดต่อมาเรื่อยๆ

ขนาดฮอลล์มองจากมุมที่นั่งรู้สึกว่ามันเล็กเหลือเกิน จริงๆ ถ้าเทียบความจุก็พอกับที่ชิสึโอกะปีก่อน แต่ที่นี่เพดานต่ำสแตนด์ก็นิดเดียวเอง

เลยมีความรู้สึกเวทีเตี้ยกว่าปกติ ด้านหลังของเราเป็นทางเดินที่ช่วงคอนเสิร์ตจะมีรถโทรอคโกะวิ่ง  มองไปที่เวทีก็รู้สึกว่าใกล้เพราะผังเวทีปีนี้เป็น Center stage  เห็นการแสดงใกล้ๆ ได้ด้วยตาเปล่า


เดินเล่นชมเมืองยามเย็น

หลังคอนเสิร์ตจบด้วยความอิ่มเอมใจ สนุกสนาน และหิวข้าว (?) เรามีเวลานิดหน่อยก่อนเข้าที่พัก ก็ถือโอกาสไปเดินเล่น ชมเมือง และตามรอยประวัติศาสตร์ที่เคยเรียน อ่านหนังสือ ท่องเว็บไซต์ต่างๆ ที่ Hiroshima’s Peace Memorial Park  ข้อความมากมายที่ฝากไว้ผ่านสิ่งปลูกสร้าง

ร่องรอยในอดีตและประติมากรรมภายในสวนย้ำเตือนให้คนตระหนักถึงภัยพิบัติของสงครามและระเบิดนิวเคลียร์

เดินจากฮอลล์ก่อนข้ามสะพาน จะผ่าน Atomic Bomb Dome หรือ 原爆ドーム เป็นจุดแรก เป็นซากอาคารที่หลงเหลือจากระเบิดนิวเคลียร์ในสงครามโลกครั้งที่ 2 ถูกขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก ริมทางเดินมีผู้คนเดินกันขวักไขว่ทั้งนักท่องเที่ยว และคนเมืองที่มานั่งริมแม่น้ำ ได้กลิ่นหอมอ่อนๆของดอกไม้ กับแสงแดดยามเย็น

เมื่อข้ามแม่น้ำโมโตยาสึมาอีกฝั่ง จะเข้าสู่สวนที่เต็มไปด้วยสีเขียวขจีของแมกไม้ สนามหญ้า ทิวทัศน์ที่ถูกออกแบบมาเป็นอย่างดี เงียบสงบตัดกับโซนเมืองอีกฝั่งที่มีอาคาร ร้านอาหารและผู้คนจอแจ 

เราเดินมาถึง  Children’s peace Monument (原爆の子の像)

อนุสาวรีย์รูปปั้นเด็กสาวผู้ถือนกกระเรียนทองเพื่ออธิษฐานและเด็กชายเด็กหญิงสัญลักษณ์แทนอนาคตที่สดใส  และความหวัง ให้โลกใบนี้มีแต่สันติภาพ

เมื่อคุณซาซากิ ซาดาโกะ เด็กสาวที่ทำให้มีการสร้างอนุสรณ์แห่งนี้ขึ้น เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว  ที่เป็นโรคหลังจากเหตุการณ์ระเบิดผ่านไปได้กว่า 10 ปี ส่งผลกระทบต่อจิตใจเพื่อนๆร่วมชั้นเป็นอย่างมาก จึงเรียกคนจากทั่วประเทศมาร่วมสร้างอนุสาวรีย์ขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์แก่เด็กทุกคนที่เสียชีวิตในเหตุการณ์ระเบิด มีนักเรียนจากทั่วประเทศ และ 9 ประเทศมาร่วมสร้าง โดยสร้างขึ้นเมื่อวันที่ 5 พ.ค.ปี ค.ศ.1958 ตรงกับวันเด็กของญี่ปุ่น

(ข้อมูลจาก : https://www.hiroshima-navi.or.jp/)

Peace Flame (平和の灯)

สร้างขึ้นวันที่ 1 สิงหาคม ค.ศ. 1964

ผลงานการออกแบบของสถาปนิก คุณเคนโซ ทังเกะ ซึ่งในเวลานั้นเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยโตเกียว ส่วนฐานออกแบบแสดงถึงท่าทางข้อมือชิด อ้าฝ่ามือสู่ท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ เพื่อปลอบประโลมผู้ประสบภัยที่ต้องการน้ำ และอธิษฐานให้โลกนี้ไม่มีระเบิดนิวเคลียร์และมีแต่สันติภาพตลอดไป

อีกฝั่งหนึ่งของถนนเป็น Hiroshima Peace Memorial Museum ซึ่งปัจจุบันตัวอาคารหลักกำลังปิดปรับปรุงอยู่ มีกำหนดการเปิดทุกส่วนอีกครั้งประมาณ ฤดูใบไม้ผลิ ปี ค.ศ. 2018

HP : http://hpmmuseum.jp  

(ข้อมูลจาก : https://www.hiroshima-navi.or.jp/)


Cenotaph for the A-Bomb Victims(原爆死没者慰霊碑)

สร้างขึ้นวันที่ 6 สิงหาคม ปีค.ศ. 1952

ผู้ออกแบบคือ สถาปนิก คุณเคนโซ ทังเกะ เช่นเดียวกับ Peace Flame  เพื่อเป็นอนุสรณ์ตอนบูรณะเมืองใหม่               ให้กับฮิโรชิม่าที่ได้รับความเสียหายจากระเบิดนิวเคลียร์ลูกแรกของโลก ด้วยความมุ่งหวังให้เป็นเมืองแห่งสันติภาพ

โดยสร้างหลังคาเป็นทรงเดียวกับบ้านโบราณของญี่ปุ่น เพราะอยากให้เป็นที่คุ้มครองเหล่าผู้ประสบภัยจากระเบิดจากฝนดำ ที่ใต้อนุสรณ์หินตรงกลางรวบรวมชื่อผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ทั้งชาวญี่ปุ่นและชาวต่างชาติ  โดยปัจจุบันยังมีการเพิ่มเติมรายชื่ออยู่เรื่อยๆ จนถึงเล่มที่ 111 แล้ว

แท่นหินตรงกลางมีข้อความสลักไว้ว่า

「安らかに眠って下さい 過ちは繰返しませぬから」”จงไปสู่สุขคติ เราจะไม่ให้เกิดความผิดพลาดนี้ซ้ำอีก”

เมื่อมองลอดผ่านไปจะเห็น อะตอมมิค โดม อยู่ในแกนเดียวกัน

(ข้อมูลจาก : https://www.hiroshima-navi.or.jp/)


นั่งเล่นกันจนฟ้าเกือบมืด จากนั้นเราก็นั่งรถรางยาวๆ ไปที่พักสำหรับคืนนี้ ห่างจาก สถานี Miyajimaguchi ท่าเรือเฟอร์รี่ที่จะไปมิยาจิม่าในวันรุ่งขึ้น 4 สถานี  ใครที่มี JR Pass สามารถนั่งรถไฟของ JR ไปได้เช่นกัน


สัมผัสเทพเจ้าที่ Miyajima   

เช้าวันถัดมา เราออกจากที่พักตั้งแต่ 7 โมงข้ามเรือเฟอร์รี่ไปยังมิยาจิม่า โดยเรือเฟอร์รี่มี 2 เจ้า คือของรถราง ที่สามารถใช้ร่วมกับตั๋วเหมาวันได้ ( รถรางอย่างเดียววันละ 600 เยน / รถรางรวมเรือวันละ 800 เยน) และของ JR ที่สามารถใช้ร่วมกับ JR Pass เลือกขึ้นได้ตามความสะดวกค่ะ แต่ถ้าไม่มีตั๋ว ขึ้นลำไหนก็ได้ เพราะเที่ยวละ 180 เยนเท่ากัน

เรือวิ่งฉิวรับลมเย็นๆ ยามเช้า ก่อนเรือเทียบท่าจะเห็นโทริอิสีแดงกลางน้ำมาแต่ไกล สัญลักษณ์ที่บ่งบอกถึงเขตแดนเทพเจ้า ที่เคยได้ยินเพื่อนคนหนึ่งเล่าให้ฟังสมัยเรียน

เมื่อถึงบนเกาะ กลุ่มคนต่างมุ่งหน้าเดินสู่โทริอิสีแดง ที่ศาลเจ้าอิคุสึ ระหว่างทางมีกวางที่คุ้นชินกับคนเสียเหลือเกินยืน เดินอยู่เหมือนเราไม่มีตัวตน คงเพราะไม่มีอาหารในมือด้วย (หัวเราะ)

หยุดถ่ายรูปนิดหน่อย เราก็เดินกันต่อ ถึงโซนร้านค้าแต่ยังไม่เปิด เพราะยังเช้าอยู่มาก แอบเล็งร้านน่ากินไว้ก่อน กะว่าตอนขากลับจะมาลองดู

เราเดินขึ้นเขาไปเรื่อยๆ ถึง ทำจากไม้ทั้งหลัง มองลงมาเห็นศาลเจ้าอิสึคุชิม่ากลางน้ำสีแดงสด ตัดกับสีเขียวของต้นไม้

สามารถเดินเข้าไปชมด้านในได้ เสียค่าเข้าชม 500 เยน ถ้าอยากเข้าแค่ส่วนศาลเจ้า หรือ Treasure hall เสียแยกได้จุดละ 300 เยนค่ะ ความสวยงามของศาลเจ้าแห่งนี้คือ เป็นสถาปัตยกรรมแบบชินเด็น (寝殿造り)ซึ่งจุดเด่นคือมีส่วนยื่นออกไปในทะเล ในช่วงน้ำลงจะสามารถเดินด้านล่างได้ แต่ในเวลาน้ำขึ้นจะเห็นว่าศาลเจ้านี้ลอยอยู่กลางน้ำ

มุ่งหน้าต่อไปยังเส้นทางขึ้น rope way แต่เราไม่ได้ขึ้นเพราะสัมภาระเยอะแบกกระเป๋าเดินทางขึ้นเขามาด้วย บรรยากาศสองข้างทางเต็มไปด้วยต้นไม้ ลำธาร บ่อน้ำ น้ำตกเล็กน้ำตกน้อย และฝูงกวางที่นอนอาบแดดอยู่เรียงราย เราตัดสินใจเดินลง เพราะน่าจะใกล้เวลาร้านรวงด้านล่างเปิดกันแล้ว


ของคาวหวานอย่าได้ขาด…

ข้าวหน้าหอยนางรม (牡蠣丼)ร้าน Torii ราคา 1,360 เยน 

มาถึงมิยาจิม่า ก็๋ไม่ควรพลาดหอยนางรม นอกจากเมนูข้าวหน้าหอยนางรมแบบต่างๆ แล้ว ด้านหน้าร้านยังมีขายหอยนางรมย่างราคา 2 ตัว 500 เยน

http://www.toriiya.co.jp/torii/index.html

โมมิจิมันจู ร้าน Iwamura Momijiya ชิ้นละ 90 เยน

เป็นขนมแป้งสอดไส้ถั่วแดงรูปใบเมเปิ้ล เหมาะสำหรับกินกับน้ำชา ของฝากขึ้นชื่อของมิยาจิม่า โดยร้าน Iwamura Momijiya แห่งนี้ เป็นร้านเก่าแก่ที่คงรักษารสชาติดั้งเดิมมาตั้งแต่สมัยเมจิ บริเวณด้านข้างร้านเป็นกระจกให้นักท่องเที่ยวเห็นกระบวนการผลิตได้ แต่ห้ามถ่ายภาพค่ะ

http://www.iwamura-momijiya.com/

Cream Bun ราคาลูกละ 280 เยน

ออริจินัลครีมบันจากร้าน Hattendo ร้านขนมปังชื่อดังของญี่ปุ่น ที่มีต้นตำหรับอยู่ที่มิฮาระ มินาโตะมาจิ จังหวัดฮิโรชิม่านี่เอง

Soft serve Coffee Ice cream ราคา 500 เยน

เมนูสุดพิเศษจากร้าน Hattendo เช่นกัน หลังจากเดินมาร้อนๆ มานั่งกินซอฟท์ครีมกาเฟให้สดชื่นเสียหน่อย

HP : http://hattendo.jp/english/

กินไปหลายร้าน จนแทบคลานกลับไม่ไหว เลยคิดว่าควรกลับเสียที เผื่อแวะเก็บที่ท่องเที่ยวในเมืองนิดหน่อย ก่อนขึ้นรถบัสกลับโตเกียว


จุดสุดท้ายที่ได้แวะก่อนกลับก็คือ ปราสาทฮิโรชิม่า (広島城跡)

ปราสาทฮิโรชิม่าในปัจจุบัน ได้รับการบูรณะตัวปราสาทจากเหตุการณ์ระเบิดนิวเคลียร์เสร็จสมบูรณ์ในปี ค. ศ. 1958 ภายในมีการจัดแสดงเป็นพิพิธภัณฑ์ทั้งหมด 5 ชั้น

โดยตัวปราสาทเดิมเป็นปราสาทที่สร้างขึ้นเสร็จในปี ค. ศ . 1591 ด้วยทำเลที่ตั้งเป็นพื้นที่สามเหลี่ยมปากแม่น้ำที่เป็นดินทราย การถมพื้นที่สูงขึ้น สำหรับโครงสร้างของปราสาท ในเวลานั้นจึงทำได้อย่างยากลำบาก รวมทั้งไม่มีวัสดุที่จำเป็นในการสร้างในพื้นที่ใกล้เคียง จึงจำเป็นต้องหาวัสดุจากเมืองอื่นๆ เท่านั้น ใช้เวลาสร้าง 2 ปีจึงแล้วเสร็จ ในเวลาเดียวกันนั้นยังพัฒนาเมืองไปพร้อมกันด้วย ถือเป็นต้นกำเนิดเมืองใหม่ ‘ฮิโรชิม่า’ ศูนย์กลางทางการเมืองและเศรษฐกิจของภูมิภาคชูโกกุ

Hiroshima castle

บริเวณรอบๆ ภายในเขตปราสาทสามารถเข้าไปเดินชมได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ส่วนตัวปราสาทต้องเสียเงินค่าเข้า 370 เยนค่ะ

HP: http://www.rijo-castle.jp

หลังจากชมปราสาทฮิโรชิม่าเสร็จแล้วก็ ไปขึ้นรถกลับโตเกียว ขากลับ เราใช้บริการ Night bus ของ Willer  ขึ้นจากบริเวณใกล้ ๆ สถานี JR Hiroshima ถึงชินจุกุ ประมาณ 8โมงเช้า ประหยัดค่าที่พักไปได้ 1 คืน มีหลายราคาให้เลือก รวมทั้งมีพาส สำหรับคนอยากไปหลายๆ ที่ด้วยค่ะ สามารถดูรายละเอียดได้ในเว็บไซต์ของรถ ราคาจะแตกต่างกันไปตามช่วงวันที่เดินทางค่ะ


จบแล้ว ไว้เจอกันใหม่ทริปหน้าค่า

views