ชวนไปเปิดโลกใต้ทะเล ด้วย "Freediving"

ชวนไปเปิดโลกใต้ทะเล ด้วย “Freediving”

ถึงหน้าร้อนทีไร จิตใจก็ร่ำร้องอยากไปทะเลทุกครั้งไป มีใครเป็นเหมือนกันไหมครับ? แต่ขอบอกเลยว่าการไปทะเลครั้งนี้ของเรามันพิเศษกว่าครั้งก่อน ๆ เพราะเราจะได้ไปเปิดประสบการณ์ดำน้ำแบบ Freediving เป็นครั้งแรก!! ถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้ ผมได้มีโอกาสดำน้ำแบบ Scuba Diving ไปบ้างแล้ว แต่การที่จะได้ลองฟรีไดฟ์เป็นครั้งแรกนี้ ก็ต้องยอมรับเลยว่าแอบตื่นเต้นอยู่ไม่น้อยเลยล่ะ

ว่าแต่การ Freediving นี่มันเป็นอย่างไรกันนะ?

หลายคนอาจจะรู้จักหรือเคยมีประสบการณ์การดำน้ำดูปะการัง แบบ Snorkeling กันมาบ้างแล้วใช่ไหมครับ? การดำน้ำโดยการสวมชูชีพ ดำผุดดำว่ายอยู่บนผิวน้ำ แล้วก้มหน้าดูฝูงปลาหรือปะการังจากบนผิวน้ำ
หรืออีกแบบหนึ่งก็จะเป็นการดำน้ำลึกแบบอาศัยถังอากาศช่วยหายใจ หรือ Scuba Diving ที่ต้องผ่านการเรียนและการสอบให้ได้มาซึ่งใบอนุญาตดำน้ำ

แต่พอพูดถึงฟรีไดฟ์ หลาย ๆ คนอาจจะทำหน้างงขึ้นมาทันที รวมถึงตัวผมเองด้วย ซึ่งผมเองก็เพิ่งจะเคยได้ยินหรือได้เห็นการฟรีไดฟ์เมื่อไม่กี่ปีมานี้เอง ยิ่งช่วงนี้ ฟรีไดฟ์ถือเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่ฮอตฮิตเบียด ๆ Surf Skate เลยทีเดียวล่ะ

จริง ๆ แล้วการดำน้ำแบบฟรีไดฟ์ก็ไม่ได้มีอะไรซับซ้อนไปกว่าการกลั้นลมหายใจเพื่อดำลงไปใต้น้ำ โดยปราศจากถังออกซิเจนหรืออุปกรณ์ช่วยหายใจอย่างอื่น หากแต่จะมีเพียงหน้ากากดำน้ำ ท่อ Snorkel และ Fin เท่านั้น แต่วิธีการที่จะทำให้เราสามารถกลั้นหายใจได้ยาวนานนี่สิ ที่เป็นสิ่งที่น่าสนใจและจำเป็นที่จะต้องเรียนรู้และฝึกฝนอย่างถูกวิธี

ชวนไปเปิดโลกใต้ทะเล ด้วย "Freediving"


เรียนรู้ทฤษฎีและทำความรู้จักกับระบบร่างกายของตัวเราเอง


ครั้งนี้เราได้เรียนหลักสูตร SSI Freediving Level 1 กับทีม Freediver Life Thailand ที่นำทีมโดยครูแซม ครูแทม และครูบาส ที่เป็นครั้งครูสอนดำน้ำ และช่างภาพใต้น้ำมือฉมังของวงการเลยล่ะ

เราเริ่มต้นด้วยการเรียนภาคทฤษฎี ทำความรู้จักกับฟรีไดฟ์ รวมถึงทำความรู้จักกับระบบร่างกายของตัวเราเองกันก่อน เพื่อให้เข้าใจกลไกของการที่เราจะกลั้นหายใจและลงไปใต้น้ำได้อย่างปลอดภัยนั่นเอง ซึ่งเราใช้เวลาเรียนภาคทฤษฎีเพียงครึ่งวันเช้า หลังจากนั้น ก็พักทานข้าวแล้วเตรียมตัวลงสระเพื่อเรียนภาคปฏิบัติกันช่วงบ่ายกันครับ

หลังจากเปลี่ยนชุดลงน้ำพร้อมเรียบร้อยแล้ว เราก็เริ่มด้วยการฝึกกลั้นหายใจบนพื้นกันก่อน ซึ่งโดยปกติผมก็จะกลั้นหายใจได้ประมาณนาทีกว่า ๆ แต่หลังจากได้เรียนรู้วิธีการกลั้นหายใจแบบฟรีไดฟ์แล้ว กลายเป็นว่าผมกลั้นได้ใจนานกว่าปกติอีกเท่าตัว แล้วพอได้ลองกลั้นหายใจในน้ำ ก็ตกใจตัวเองอยู่เหมือนกันครับ ที่สามารถกลั้นหายใจได้เกือบสามนาทีเลยทีเดียว!! ผมรับรองเลยว่า ถ้าทุกคนได้เรียนรู้เทคนิคการกลั้นหายใจแบบฟรีไดฟ์แล้วล่ะก็ ทุกคนจะสามารถกลั้นหายใจได้นานขึ้นจนไม่เชื่อตัวเองเลย!

เมื่อเราฝึกกลั้นหายใจได้จนเป็นที่น่าพอใจแล้วเราก็ลงน้ำฝึกทักษะ การดำน้ำต่างๆ ตามหลักสูตร เพื่อที่เราจะต้องสอบให้ผ่าน เพื่อได้มาซึ่ง Freediver License นั่นเอง ทักษะดังกล่าวก็จะประกอบไปด้วย การไต่เชือกลงใต้น้ำและไต่เชือกกลับขึ้นมายังผิวน้ำ, การ Duck Dive หรือมุดน้ำ คือการพุ่งตัวดิ่งลงไปใต้น้ำแบบตั้งฉากกับพื้นลงไปตรง ๆ เลย รวมไปถึงการใช้แขนว่ายพาตัวเองขึ้นมายังผิวน้ำ โดยไม่มีการตีขาช่วย และสุดท้ายคือทักษะการช่วยคนหมดสติใต้น้ำ เราจะต้องช่วยพาตัวคนหมดสติ ขึ้นมายังผิวน้ำให้ได้เร็วที่สุด

ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลที่ว่ามานั้น จะบอกว่า ไม่มีอะไรที่ยากไปกว่าการเคลียร์หู นั่นคือ เมื่อเวลาเราดำน้ำลงไปลึก ๆ แล้ว แรงดันใต้น้ำจะดันเข้าไปยังแก้วหูของเรา จะทำให้หูเราอื้อ ๆ ตึง ๆ ปวด ๆ ความรู้สึกเดียวกันกับตอนที่เรานั่งอยู่บนเครื่องบินตอนกำลังแลนด์ดิ้งน่ะล่ะครับ เราจึงต้องปรับความดันหูของเราให้กลับมาเป็นปกติ ซึ่งถ้าเคลียร์หูไม่ได้ ก็ดำลงไปลึก ๆ ไม่ได้ ต่อให้กลั้นหายใจได้เป็นสิบนาที แต่ถ้าเคลียร์หูไม่ได้ ก็ดำลงไปหาน้องปลา น้องเต่า ใต้ทะเลลึก ๆ ไม่ได้อยู่ดีนะครับ ดังนั้นแล้วความฟิตของร่างกายจึงสำคัญ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น เราก็สามารถฝึกให้ร่างกายเราปรับตัวกับการดำน้ำให้ดีขึ้นได้เช่นกัน

รู้ตัวอีกที เราก็ขึ้นจากสระกันประมาณห้าโมงเย็น เรียกได้ว่าตัวแทบเปื่อย ความรู้แน่นเอี๊ยด พร้อมสำหรับการออกทะเลไปดำสนามจริงในวันมะรืนกันแล้ว


เยือนอันดามันเหนือ ที่หมู่เกาะสุรินทร์


เราบินไฟลท์เช้าโดยสายการบิน Thai Smile จากสนามบินสุวรรณภูมิสู่สนามบินภูเก็ต วันนี้เรายังจะยังไม่ได้ดำน้ำกันครับ แต่เราจะแวะเที่ยว “บ้านบางพัฒน์” กันก่อนที่จะเข้าไปเช็คอินที่โรงแรม ใช้เวลาเดินทางจากสนามบินประมาณชั่วโมงครึ่ง

ชวนไปเปิดโลกใต้ทะเล ด้วย "Freediving"

ชวนไปเปิดโลกใต้ทะเล ด้วย "Freediving"

บ้านบางพัฒน์ เป็นหมู่บ้านชาวประมงเชิงอนุรักษ์ ซึ่งมีป่าโกงกางที่ยังคงสภาพสมบูรณ์มาก อีกทั้งยังมีโฮมสเตย์และกิจกรรมเที่ยวชมธรรมชาติรอต้อนรับนักท่องเที่ยวอยู่มากมาย และที่ขาดไม่ได้เลยคือ อาหารทะเลที่สดใหม่! จัดเต็มทั้งกุ้ง หอย ปู ปลา ที่คิดค่าบริการเพียงคนละ 250 บาท แต่สามารถเลือกเมนูอาหารได้ถึง 7 อย่าง เรียกได้ว่าเป็นมื้อกลางวันที่จัดหนักจัดเต็มกันไปเลยทีเดียว

ชวนไปเปิดโลกใต้ทะเล ด้วย "Freediving"

หลังจากรับประทานอาหารกันจนอิ่มหนำกันแล้ว ก่อนกลับ ก็ยังสามารถแวะอุดหนุดอาหารทะเลตากแห้งของชาวบ้าน ที่รับรองว่าไม่มีสารเคมีเจือปน แถมราคายังไม่แพงอีกด้วย อีกทั้งยังสามารถแวะชิมลูกชก ที่เป็นของหายากของดีเมืองพังงา ได้ที่นี่อีกด้วย

ชวนไปเปิดโลกใต้ทะเล ด้วย "Freediving"

จากบ้านบางพัฒน์ เราเดินทางอีกประมาณ ชั่วโมงครึ่ง ก็จะถึงที่พักของเราสำหรับคืนแรกของเรา นั่นคือ บางสักวิลเลจ เป็นวิลล่ารีสอร์ต กลิ่นอายบาหลี ติดทะเลอันดามัน ที่สุดแสนจะไพรเวท เหมาะสำหรับการหลีกหนีความวุ่นวายมาชาร์จพลังชีวิตให้เต็มเปี่ยม

มือเย็นของเราจะเป็นที่ไหนไปไม่ได้เลย นอกจาก “ครัวหลวงเทน” ที่เขามีสโลแกนว่า “หรอย (อร่อย) ที่สุด ในเมืองมนุษย์” เรียกได้ว่าใครที่มาเขาหลัก ก็ต้องนึกถึงร้านนี้เป็นอันดับต้น ๆ เพราะนอกจากรสชาติอาหารใต้ที่จัดจ้าน กับวัตถุดิบคุณภาพดีแล้ว ยังได้มิชลินไกด์อีกด้วย เลยทำให้ร้านมีคนแน่นตลอดเวลา อาจจะต้องอาศัยดวงในการมากันสักหน่อย เพราะร้านไม่รับจองล่วงหน้านะบอกก่อน ต้องมาลุ้นเอาหน้าร้าน ถ้าจะให้ชัวร์ก็มารอตั้งแต่ร้านเปิดเลยก็จะดี แต่ร้านจะเปิดแค่สองช่วง คือมื้อเที่ยงและมื้อเย็นเท่านั้นนะ

ชวนไปเปิดโลกใต้ทะเล ด้วย "Freediving"

ชวนไปเปิดโลกใต้ทะเล ด้วย "Freediving"


ความแตกต่างระหว่างการฟรีไดฟ์ในสระกับในทะเล


วันที่สองเราออกจากที่พักตั้งแต่เช้าเพื่อเดินทางไปยังท่าเรือทับละมุ เพื่อจะให้ทันเรือรอบเก้าโมงเช้า ที่จะมุ่งหน้าไปยังหมู่เกาะสุรินทร์ ซึ่งจะเป็นจุดดำน้ำจุดแรกของทริปนี้ เราเดินทางด้วยเรือสปีดโบ้ทของ SeaStar ใช้เวลาประมาณสองชั่วโมง ก็เดินทางมาถึงอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสุรินทร์ จัดแจงเอาสัมภาระเข้าที่พักซึ่งเป็นบ้านพักของทางอุทยานฯ ตั้งอยู่ที่อ่าวช่องขาดบนเกาะสุรินทร์เหนือ ซึ่งเป็นเกาะหลักของอุทยานฯ ที่นี่มีหาดทรายงาม ๆ รวมถึงน้ำทะเลที่ใสมาก ๆ และแลนด์มาร์คสำคัญของที่นี่ก็คือกองหินรูปไก่นั่นเอง

ชวนไปเปิดโลกใต้ทะเล ด้วย "Freediving"

ชวนไปเปิดโลกใต้ทะเล ด้วย "Freediving"

หลังจากรับประทานอาหารเที่ยงเสร็จเรียบร้อย ก็ถึงเวลาที่จะออกไปดำน้ำกันแล้ว โดยระหว่างทางไปยังจุดดำน้ำ เราได้แวะที่ “หมู่บ้านชาวมอแกน” ที่เป็นชาวเลดั้งเดิมซึ่งใช้ชีวิตในแถบนี้มาหลายชั่วอายุคน แต่เดิมชาวมอแกนจะอาศัยอยู่บนเรือ ภายหลังได้มีการย้ายขึ้นมาสร้างบ้านเรือนกันบนเกาะเป็นการถาวร แต่ก็ยังคงวิถีชีวิตในการหาอาหารทะเลแบบเดิมอยู่

ชวนไปเปิดโลกใต้ทะเล ด้วย "Freediving"

ชวนไปเปิดโลกใต้ทะเล ด้วย "Freediving"

ชาวมอแกนตอนนี้เองคงจะคุ้นเคยกับนักท่องเที่ยวกันเป็นอย่างดี ต่างทักทายยิ้มแย้มให้กับคนที่ผ่านไปผ่านมาตลอดสองข้างทาง รวมถึงเด็ก ๆ ชาวมอแกนที่รับบทเป็นพ่อค้าแม่ค้า ขายของที่ระลึกก็น่ารักน่าเอ็นดู ใครที่ได้มาก็แวะอุดหนุนของที่ระลึกเหล่านี้ได้ ไม่ว่าจะเป็นสร้อยข้อมือ-ข้อเท้า ไม้แกะสลักต่าง ๆ ถือเป็นการส่งเสริมรายได้ให้ชุมชนกันนะครับ

ชวนไปเปิดโลกใต้ทะเล ด้วย "Freediving"

ชวนไปเปิดโลกใต้ทะเล ด้วย "Freediving"

เอาล่ะ คราวนี้ก็ได้เวลาออกทะเลไปดำน้ำจริง ๆ สักทีแล้ว จะได้เอาวิชาที่ร่ำเรียนกัน มาใช้จริงซักที จุดดำน้ำแรกที่เราจะลงกันก็คือ “อ่าวเต่า” คาดหวังอย่างหนักหน่วงว่าจะต้องเจอน้องเต่าแหละ ก็ชื่ออ่าวเต่าซะขนาดนี้ แต่สิ่งแรกที่เจอหลังจากลงน้ำก็คือ แมงกะพรุนตัวเล็กตัวน้อยเต็มไปหมด เรียกได้ว่าต้องใช้ทักษะว่ายหลบหลีกอยู่พอสมควร ดีที่น้อง ๆ แมงกะพรุนเหล่านั้นไม่มีพิษ และส่วนใหญ่จะลอยอยู่ใกล้ผิวน้ำ พอเราดำน้ำลึกลงไปก็จะหลุดพ้นจากฝูงแมงกะพรุนได้ แล้วเราก็จะได้เจอกับฝูงปลาน้อยใหญ่ รวมถึงปะการังหลากสีสันมากมาย

ชวนไปเปิดโลกใต้ทะเล ด้วย "Freediving"

เอาเข้าจริง การฟรีไดฟ์ในทะเลมันต่างกับที่เราเรียนในสระมากเลย อย่างแรกคือ ระยะเวลาที่เรากลั้นหายใจในน้ำกลับทำได้น้อยลง เพราะไหนเราต้องใช้แรงตีขาลงไป ต้องบังคับทิศทางไปมาอีก ไหนจะความตื่นเต้นเวลาเจอฝูงปลาต่าง ๆ นานาอีก เลยทำให้ต้องขึ้น ๆ ลง ๆ อยู่หลายรอบ แต่สิ่งที่ดีกว่าในสระมาก ๆ คือ บรรยากาศของโลกใต้ทะเลที่สวยงามสุด ๆ รวมถึงสัตว์ทะเลนานาชนิดด้วย มันเลยทำให้เราดำน้ำได้อย่างเพลิดเพลิน ต้องบอกเลยว่าปะการังที่นี่สมบูรณ์มาก ๆ ยิ่งช่วงนี้ ที่ธรรมชาติได้ฟื้นฟูตัวเอง จากช่วงวิกฤติโควิด-19 แล้วด้วย เรียกได้ว่าได้ตื่นตาตื่นใจแบบ Full HD กันไปเลย ได้เห็นฝูงปลาทั้งเล็กทั้งใหญ่หลากหลายชนิดมาก ตั้งแต่น้องนีโม่ตัวจิ๋วยันปลาฉลามหูดำเลยแหละ จังหวะที่เจอน้องฉลามนี่ก็เล่นเอาตกใจอยู่พอสมควรนะ แต่เสียดายที่น้องโฉบมาให้เห็นเพียงแป๊บเดียว ไม่ทันได้กดถ่ายรูปมาให้ดู

ชวนไปเปิดโลกใต้ทะเล ด้วย "Freediving"

เราใช้เวลาสองชั่วโมงกว่า ๆ ผ่านไปโดยไม่รู้สึกเบื่อเลย เลยทำให้เราไม่ได้ไปจุดที่สอง เพราะเราขึ้นมาจากน้ำก็เย็นมากแล้ว ใกล้จะถึงเวลาพระอาทิตย์ตกเลยต้องกลับเข้าที่พักกันก่อน แล้วค่อยออกไปดำน้ำอีกครั้งในวันรุ่งขึ้น


“อ่าวสุเทพ” จุดที่ปะการังหนาแน่นและอุดมสมบูรณ์มาก ๆ


เราตื่นขึ้นมาพร้อมกับความสดชื่น เพราะเมื่อคืนฝนตกเฉยเลย แต่เช้านี้ท้องฟ้าปลอดโปร่งดีมาก หลังจากรับประทานอาหารเช้าเสร็จเรียบร้อย เราก็ลงเรือไปยัง “อ่าวสุเทพ” ซึ่งว่ากันว่าเป็นจุดที่ปะการังหนาแน่นและอุดมสมบูรณ์มาก ๆ และเมื่อไปถึงก็เป็นดังคำโฆษณาข้างต้นจริง ๆ ที่นี่เราจะได้เจอกับทุ่งปะการังหลากสีสุดลูกหูลูกตาเลย ปลาเล็กปลาน้อยก็แหวกว่ายรอบตัว ราวกับรู้จักมักจี่กับนักดำน้ำเป็นอย่างดี และก็เป็นอีกครั้งที่เวลาผ่านไปไวโดยไม่รู้ตัว เราขึ้นมาจากน้ำก็ราว ๆ สิบเอ็ดโมง ถึงเวลาที่จะต้องกลับไปยังอุทยานฯ เพื่อเตรียมตัวนั่งเรือเข้าฝั่ง กลับไปยังพังงา ซึ่งเราจะต้องเดินทางต่อไปยังจังหวัดตรังครับ ถึงเวลาที่เราต้องโบกมือลาอันดาเหนือ เพื่อจะไปทักทายอันดามันใต้ที่จังหวัดตรังกันพรุ่งนี้แล้วล่ะครับ

ชวนไปเปิดโลกใต้ทะเล ด้วย "Freediving"

 

ชวนไปเปิดโลกใต้ทะเล ด้วย "Freediving"

ชวนไปเปิดโลกใต้ทะเล ด้วย "Freediving"


จุดปะการังเทียมที่ใหญ่และสวยที่สุดในประเทศไทย


เมื่อคืนเรามาถึงที่พักที่ บ้านเจ้าไหมรีสอร์ต ตอนเกือบห้าทุ่มเลยทีเดียว ลงจากรถ เช็คอินเข้าที่พักเสร็จปุ๊บ ก็สลบปั๊บ ตื่นมาอีกทีก็เจ็ดโมงเช้าเลย ออกไปทานอาหารเช้าที่ทางที่พักจัดให้ เพื่อจะให้พอมีเรี่ยวมีแรงที่จะไปดำน้ำกันในเช้านี้

เช็คเอาท์จากที่พักแล้วเราก็มุ่งหน้าไปยังท่าเรือหาดยาว เพื่อจะขึ้นเรือสปีดโบ้ทมุ่งหน้าไปยัง “จุดดำน้ำปะการังเทียม เกาะลิบง” ที่ว่ากันว่า เป็นจุดปะการังเทียมที่ใหญ่และสวยที่สุดในประเทศไทย ซึ่งความพิเศษอีกอย่างของกองปะการังเทียมที่นี่คือ จะมีดอกไม้ทะเลหรือปะการังอ่อนมาเกาะที่กองปะการังเทียมนี้ด้วย ซึ่งปะการังเทียมที่อื่น ๆ จะไม่มี จะมีเพียงปะการังเทียมเกาะลิบงที่นี่แห่งเดียวเท่านั้น

แต่ความพีคไม่ได้มีเพียงเท่านั้นครับ ปะการังเทียมที่นี่จมอยู่ที่ความลึก 11 – 14 เมตร! ซึ่งจุดดำน้ำที่หมู่เกาะสุรินทร์ที่เราไปดำกันมานั้น มีความลึกเฉลี่ยไม่เกิน 5 – 6 เมตรเท่านั้น เรียกได้ว่าลงอันดามันใต้จุดแรกก็เจอจุดยากเลย แถมกระแสน้ำก็ดูเหมือนจะขุ่นกว่าหน่อยด้วย นั่นหมายความว่าถ้าเราไม่ดำลงไปใกล้ ๆ เราก็จะไม่มีโอกาสได้เห็นเจ้าปะการังเทียมเหล่านั้นเลย

หลังจากชั่งใจอยู่นานว่าจะลงดีไม่ลงดี รู้ตัวอีกทีตัวก็อยู่ในน้ำแล้ว ก็ด้วยความอยากเห็นปะการังเทียมที่เขาว่าสวยที่สุดในประเทศไทยกับเขาดูบ้าง เอาล่ะ เป็นไงเป็นกัน

เรามุดน้ำตีขาลงไปด้วย เคลียร์หูไปด้วย ลงไปเรื่อย ๆ เรื่อย ๆ ก็ยังมองไม่เห็นอะไรนอกจากความว่างเปล่า มันต่างจากจุดที่เราดำน้ำที่ก่อน ๆ เลย คือจุดดำน้ำที่ผ่านมา ปะการังมันอยู่ในจุดที่ไม่ได้ลึกมาก บวกกับน้ำที่ใสกว่า เราเลยสามารถมองเห็นปะการังต่าง ๆ ได้จากผิวน้ำเลย แต่จุดนี้ไม่ใช่เลย

เราก็ลงไปเรื่อย ๆ เคลียร์หูไปเรื่อย ๆ อยู่อีกสักพัก ในใจคิดว่าแต่ว่าเมื่อไรจะถึงนะ จนเริ่มเห็นฝูงปลาเล็ก ๆ อยู่ตรงหน้า อันเป็นสัญญาณที่ดี เป็นแรงใจทำให้ตีขาลงไปได้อีกหน่อย เราถึงจะเริ่มเห็นแท่งคอนกรีตสี่เหลี่ยมที่วางกองซ้อนกันอยู่ แต่ที่สะดุดตากว่านั้นคือปะการังสีขาว ชมพู ม่วง เรียงรายมากมายเกาะอยู่ตรงแท่งคอนกรีตเหล่านั้นเอง รวมถึฝูงปลาน้อยใหญ่ที่อาศัยอยู่ที่นี่ด้วย ผมชื่นชมความสวยงามได้ไม่นานก็รู้สึกว่ากลั้นหายใจลำบากมากขึ้น เลยต้องรีบตีขาขึ้นมาสูดลมหายใจ

โอเค มิชชั่นคอมพลีท!! เราได้ดำลงไปเกินสิบเมตรเป็นครั้งแรก แถมยังได้เห็นปะการังเทียมแบบใกล้ชิดเป็นครั้งแรกอีกด้วย จะบอกว่าเป็นอะไรที่แปลกตาแต่ก็สวยไปอีกแบบ ถ้าใครได้มีโอกาสมา ก็ไม่อยากให้พลาดนะครับ เดี๋ยวจะคุยกับเขาไม่รู้เรื่อง


จุดที่เราจะได้สอบกันสักที!


ขึ้นมาจากจุดปะการังเทียมแล้วเราก็มุ่งหน้ากันต่อไปยัง “เกาะแหวน” ซึ่งจะเป็นเกาะเล็ก ๆ ที่อยู่ระหว่างเกาะมุกและเกาะกระดาน ตรงจุดนี้แหละครับ ที่เราจะได้สอบกันสักที

ใช่ครับ! เรายังไม่ได้สอบกันเลย แต่ดำลงไปถึงสิบเมตรแล้วนะครับ ฮ่า ๆ ตรงจุดนี้ครูเขาก็จะลอยทุ่นหรือบุย (Bouy) เอาไว้ครับ ความลึกตามเกณฑ์ที่ต้องสอบคือ 10 เมตร ผมซึ่งผ่านการดำจุดปะรังเทียมมาแล้วนั้นก็ไม่ได้รู้สึกกดดันอะไร ก็เลยอาสาเริ่มสอบคนแรกครับ

ท่าแรกคือไต่เชือกครับ ต้องใช้มือสาวเชือกที่ผูกอยู่กับทุ่นเอาตัวเองลงไปจนถึงพื้น แล้วก็สาวกลับขึ้นมา ซึ่งจังหวะที่สาวลงไปก็รู้สึกตะหงิด ๆ ในใจครับ ว่าทำไมมันดูลึกจัง ลงไปอยู่นานก็ไม่ถึงพื้นซักที (ซึ่งครูมาเฉลยทีหลังว่า จุดที่เราไปสอบนั้นมีความลึกอยู่ที่ 15 เมตร!!) แต่ก็กลั้นใจเอาตัวเองถึงพื้นจนได้ แล้วก็ขึ้นมาได้อย่างปลอดภัย

ท่าต่อมาคือ Duck Dive หรือมุดน้ำลงไปตามแนวเชือกแล้วก็ตีขาขึ้นมา ซึ่งก็ผ่านได้ไม่ยากนัก ต่อมาก็จะเป็นการมุดน้ำลงไปเหมือนเดิม แต่จะขึ้นมาโดยใช้มือโกยน้ำ ดันตัวเองขึ้นมา โดยปราศจากการตีขา เป็นการจำลองเหตุการณ์หากเกิดตะคริวที่ขา ไม่สามารถใช้ขาได้นั่นเอง ซึ่งท่านี้ผมก็ผ่านมาได้

ท่าต่อไปก็จะไปการมุดน้ำลงไปถึงพื้นแล้วถอดหน้ากากออก แล้วตีขาขึ้นมาโดยต้องลืมตามองเชือกตลอดเวลาที่ตีขาขึ้นมา ตอนแรกผมก็มีความกังวลว่าจะแสบตากับการลืมตาในทะเล แต่พอเอาเข้าจริง ๆ นั้นไม่ได้แสบตาอย่างใดเลยครับ แต่ตาก็จะแดง ๆ หน่อยครับ

ชวนไปเปิดโลกใต้ทะเล ด้วย "Freediving"

หลังจากผ่านการถอดหน้ากากใต้น้ำแล้ว ก็จะเป็นท่าสุดท้ายแล้วครับ คือการช่วยคนหมดสติใต้น้ำ ตอนนี้ครูจะดำลงไปรอที่พื้นครับ รับบทเป็นคนหมดสติ ผมก็ต้องดำลงไปแล้วพาตัวครูขึ้นมา จุดนี้ต้องยอมรับเลยครับว่าล่กมาก ครูแสดงได้เหมือนคนหมดสติจริง ๆ ครับ จังหวะที่เห็นครูนอนอยู่ที่พื้น ไม่รู้ว่าโดยสัญชาติญาณหรือความตื่นเต้น ผมก็รีบที่จะพาครูขึ้นมายังผิวน้ำให้เร็วที่สุด เลยวางท่าวางมือผิดที่ผิดทางไปหมด รีบพยุงตัวครูตีขาขึ้นมาถึงผิวน้ำให้เร็วที่สุด ขึ้นมาถึงก็เล่นเอาซะหายใจหอบเลยครับ ครูเลยยังไม่ให้ผ่าน ต้องรอสอบซ่อมอีกทีครับ แต่จังหวะนั้นผมหมดเรี่ยวหมดแรงไปแล้วครับ เลยให้คนอื่น ๆ ได้สอบกันไปก่อน ผมเลยไปดำน้ำเล่นรอพลาง ๆ ซึ่งจุดนี้น้ำใสและคลื่นสงบกว่าจุดปะการังเทียมมาก เลยดำได้แบบไม่เหนื่อยมาก แต่ผมก็พลาดที่จะได้เจอเจ้าถิ่นของที่นี่คือเจ้าม้าน้ำตัวจิ๋วครับ ไม่รู้ว่าไปแอบอยู่ตรงไหน ไว้โอกาสหน้าจะมาหาใหม่นะครับ

หมดเรี่ยวหมดแรงจากการสอบแล้ว เราก็มุ่งหน้าไปยังที่พักที่ Seven Seas Resort เกาะกระดานครับ ซึ่งจังหวะที่กำลังมุ่งหน้าไปเกาะกระดาน ก็มีพายุฝนไล่หลังมาด้วยครับ น้อง ๆ คนเรือบอกว่าเป็นพายุลูกแรกของปีนี้เลย (ช่างโชคดีเสียนี่กระไร)

ทันทีที่เรือจอดเทียบหาดเรารีบวิ่งไปยังล็อบบี้รีสอร์ตกันเลยครับ เข้ามาถึงชายคาปุ๊บ ฝนก็กระหน่ำลงมาปั๊บเลย เรียกได้ว่าแต้มบุญยังเหลือนะครับ ฮ่า ๆ

เราเช็คอินเข้าห้องพักกันเรียบร้อย กินมื้อเย็นเสร็จ แล้วก็เข้านอนกันเลยครับ อาหารอิ่มท้อง อากาศเย็น ๆ ฝนพรำ ๆ บวกกับเตียงนุ่ม ๆ เรียกได้ว่าหัวถึงหมอนปุ๊บภาพก็ตัดปั๊บเลยครับ


ไฮไลต์ของอันดามันใต้


ตื่นเช้ามาด้วยอากาศที่สดใสมาก ฟ้าหลังฝนมักจะงดงามเสมอนี่คงจะเป็นเรื่องจริงนะครับ

เช้านี้เรารับประทานอาหารเช้าเสร็จแล้วก็จะเช็คเอาท์กันเลย เพราะจุดที่เราจะไปดำกันวันนี้อยู่ค่อนข้างไกล และจะเป็นจุดดำน้ำจุดสุดท้ายของทริปนี้คือ “จุดดำน้ำกองหินม่วงหินแดง” ครับ

กองหินม่วงและหินแดงอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติเกาะลันตา จุดดำน้ำจุดนี้โด่งดังไปทั่วโลกเลยนะครับ เรียกว่าเป็นไฮไลต์ของอันดามันใต้เลย! พอเรามาถึงก็รู้สึกตื่นเต้นกันตั้งแต่ยังไม่ลงน้ำเลยครับ เพราะว่าคลื่นแรงมาก!! แรงที่สุดในทริปนี้เลยก็ว่าได้ครับ กัปตันเรือถึงกับออกปากว่า ถ้าถูกพัดลอยออกไป ให้พยายามลอยตัวไว้ เดี๋ยวเรือจะวนไปรับเอง เพราะน่าจะว่ายสู้กับคลื่นกันไม่ไหว เล่นเอาใจตุ้ม ๆ ต่อม ๆ กันเลยล่ะ

นั่นก็เพราะที่นี่เป็นเพียงกองหินกลางทะเล ที่ไม่มีสิ่งใดมากันลมเลยครับ มีเพียงยอดหินโผล่พ้นน้ำอยู่นิดเดียว คลื่นเลยจัดเต็มมาก เราเลยส่งบรรดาครู ๆ ลงไปกันก่อน พอได้สัญญาณกลับมาว่า กระแสใต้น้ำไม่ได้แย่เหมือนผิวน้ำ เราเลยทยอยลงน้ำกัน ซึ่งก็เป็นดังที่ครูเขาบอกมาจริง ๆ พอดำลงไปใต้น้ำแล้ว กลับไม่มีคลื่นเลย แต่กลับต้องตื่นตะลึงกับทุ่งปะการังอ่อนและกัลปังหาสีม่วงสีแดง อันเป็นที่มาของชื่อสถานที่นี้นั่นเอง

ชวนไปเปิดโลกใต้ทะเล ด้วย "Freediving"

อีกทั้งที่นี่ยังมีหินที่มีลักษณะเหมือนภูเขาขนาดย่อมตั้งขึ้นมาจากพื้นทะเล เลยทำให้มีซอกหินให้สามารถว่ายซอกแซกไปดูสัตว์ทะเลขี้อายที่แอบอยู่ตามซอกหินได้เพลินดี ที่นี่ผมได้เจอกับปลาไหลมอเรย์ตัวยาว ปลาปักเป้าตัวโต ฝูงปลาสาก และปลาเล็กปลาน้อยอีกมากมาย สมกับเป็นจุดดำน้ำระดับโลกจริง ๆ

เราต้องขึ้นจากทะเลกันตอนเที่ยงตรง เพราะเรามีไฟลท์กลับกรุงเทพฯกันตอนเย็น ฉะนั้นจะเถลไถลเหมือนที่อื่น ๆ ไม่ได้ครับ ขึ้นจากทะเลแล้ว เรือเรามุ่งหน้ากลับเข้าฝั่ง มาถึงท่าเรือหาดยาวตามกำหนดเวลาครับ เป็นอันจบทริปดำน้ำ อันดามันเหนือ – อันดามันใต้อย่างสมบูรณ์

ที่นี่เราได้โบกมือลาทีม Freediver Life Thailand แล้วรีบมุ่งหน้าไปยังสนามบินตรังทันที เราโดยสารสายการบิน Thai Lion Air มาถึงสนามบินดอนเมืองโดยสวัสดิภาพ ซึ่งทริปนี้จะเกิดขึ้นไม่ได้เลย ถ้าไม่ได้รับการสนับสนุนจากทาง “การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย” ที่ชวนทีมดาโกะ ไปเปิดประสบการณ์ฟรีไดฟ์ที่อันดามันในครั้งนี้

ทำให้ได้เห็นกับตาว่าใต้ท้องทะเลไทยนั้นสมบูรณ์และสวยงามติดอันดับโลกจริง ๆ หลาย ๆ คนอาจจะมีโอกาสได้เคยไปเยือนอันดามันมาก่อนหน้านี้แล้ว แต่ผมว่า ช่วงนี้ หลังจากที่เราได้หยุดพัก หยุดเที่ยวจากสถานการณ์โควิด-19 ได้ปล่อยให้ธรรมชาติได้ฟื้นฟูตัวเองอย่างเต็มที่แล้วด้วย มันมีความสวยงามสมบูรณ์กว่าเมื่อก่อนมาก อยากให้ทุกคนได้มาลองสัมผัสด้วยตาตัวเอง แต่ถ้าอยากเปิดประสบการณ์พิเศษเพิ่มไปอีก ก็อยากให้ได้ลองไปดำน้ำ Freediving ด้วย แล้วจะได้รับความประทับใจแบบไม่รู้ลืมเหมือนกับผมครับ

ชวนไปเปิดโลกใต้ทะเล ด้วย "Freediving"

ชวนไปเปิดโลกใต้ทะเล ด้วย "Freediving"


Freediver Life Thailand
Facebook: www.facebook.com/Freediverlife
โทรศัพท์: 083-828-2865
ราคาคอร์สเรียน
Basic Freedive ราคา 4,900 บาท
เรียนสระทฤษฎีและปฎิบัติ 1 วัน ไม่มีออกสอบที่ทะเล
Freedive Lv.1 ราคา 7,500 บาท
เรียนสระทฤษฎีและปฎิบัติ 1 วัน ออกสอบทะเล 1 วัน
Freedive Lv.2 ราคา 11,000 บาท
เรียนสระทฤษฎีและปฎิบัติ 1 – 2 วัน ออกสอบทะเล 1 วัน
SSI Photographer ราคา 5,900 บาท
เรียน 1 วัน สามารถนัดสถานที่เรียนได้ (ต้องเป็นคนที่สอบฟรีไดฟ์ผ่านแล้ว)

การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
Website: www.tat.or.th/en , www.tatnews.org
Facebook: www.facebook.com/tatnews.org


เรื่องโดย .fa.lin.

flynn

มนุษย์โลกผู้มีชีวิตอยู่เพื่อการท่องเที่ยว เสียงดนตรี และการได้มีความสัมพันธ์อันดี (กับทั้งคน สัตว์ และสิ่งของบางชนิด).


คากุระซากะ (Kagurazaka) ตามรอยซีรีส์ ณ ย่านสุดเก๋ผสมกลิ่นอายเอโดะคลิก
ทะเล ท้องฟ้า และพระอาทิตย์ตกที่งดงามคลิก

views