It’s a Summer Film! ผลงานชิ้นเอกที่เต็มไปด้วยความรักในภาพยนตร์
จากภาพยนตร์ที่สร้างสถิติ “ตั๋วเต็มทุกที่นั่งทุกรอบ” ในเทศกาลหนังญี่ปุ่น-กรุงเทพฯ 2022 “It’s a Summer Film! (เกือบจะไม่ได้) ฉายแล้วหน้าร้อนนี้!” (サマーフィルムにのって) กับกระแสตอบรับที่ดีอย่างต่อเนื่องจากผู้ชม ทำให้เราตัดสินใจเดินเข้าโรงภาพยนตร์เพื่อไปดูเรื่องนี้บ้าง
ฮาดาชิ (รับบทโดย มาริกะ อิโต อดีตสมาชิกวง Nogizaka46) เด็กมัธยมที่รสนิยมการดูหนังไม่เหมือนใคร ในขณะที่สมาชิกคนอื่นในชมรมภาพยนตร์ของโรงเรียนกำลังร่วมมือกันทำหนังรักโรแมนติก ฮาดาชิใฝ่ฝันอยากทำหนังซามูไร วันหนึ่งเธอได้เจอกับ รินทาโร (รับบทโดย ไดจิ คาเนะโกะ) ชายหนุ่มท่าทางประหลาดที่หน่วยก้านน่าจะเล่นหนังพีเรียดได้ เธอจึงชวนเขามาเป็นนักแสดงในหนังของตนเอง พร้อมกับลากเพื่อนซี้จำนวนหนึ่งมาเป็นทีมงานในกองถ่าย และยังไม่ทันที่ภารกิจอันแสนขลุกขลักสุดทะเยอทะยานของฮาดาชิจะสำเร็จ พวกเธอกลับต้องมาเจอจุดพลิกผันที่คาดไม่ถึง หน้าร้อนปีนั้น ชีวิตของทุกคนจึงไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
*Spoiler Alert* เนื้อหาต่อจากนี้อาจมีการเปิดเผยเนื้อเรื่องในภาพยนตร์
“เหมือนฝันที่ได้พูดเกี่ยวกับสิ่งที่โปรดปรานในพื้นที่เล็ก ๆ ที่รายล้อมไปด้วยสิ่งที่ตัวเองชอบ”
หลังจากที่ชมภาพยนตร์จบ ความรู้สึกที่ล้นเอ่อออกมาแบบเก็บไว้กับตัวเองแทบไม่อยู่ คือ ความอิ่มเอมใจและพลังแห่งความสดใสที่ได้รับจากตัวละครแต่ละตัว คาแรกเตอร์ของ เท้าเปล่า (ハダシ) โฟมว่ายน้ำ (ビート板) และบลูฮาวาย (ブルーハワイ) นั้น เป็นคาแรกเตอร์ตัวแทนสาวมัธยมปลายส่วนน้อยของญี่ปุ่น พวกเธอแตกต่างไปจากเด็กสาวทั่วไป แต่ในความแตกต่างนั้นก็มีเสน่ห์ที่ส่องประกายระยิบระยับจับตาจับใจคนดูอย่างเราได้เป็นอย่างดี
ฉากที่พวกเธอรวมตัวกันที่ฐานลับทำให้ภาพฝันในวัยเด็กของเราโดดเด้งขึ้นมาอย่างชัดเจน ความฝันที่อยากมีพื้นที่เล็ก ๆ สักที่ที่รายล้อมไปด้วยสิ่งที่ตัวเองชื่นชอบ และได้พูดคุยแลกเปลี่ยนเรื่องราวหรือมุมมองเกี่ยวกับสิ่งเหล่านั้นกับคนที่ชื่นชอบเหมือนกัน มันคือพื้นที่และช่วงเวลาที่แสนจะสดใส และเพียงแค่จินตนาการตามก็แทบหุบยิ้มไว้ไม่ได้แล้ว
ทัศนคติเชิงบวก ประวัติศาสตร์ วิทยาศาสตร์ อดีต ปัจจุบัน และอนาคต ที่ถูกเรียบเรียงให้ล้อกันไปตลอดทั้งเรื่อง
ถ้ามองในภาพรวมแล้ว แนวของภาพยนตร์เรื่องนี้ก็คงเป็นหนังวัยรุ่น Coming of age ที่ไล่ตามความฝันของตัวเอง ซ้อนทับไปกับเรื่องราวโรแมนติกคอมเมดี้แบบเบา ๆ รวมทั้งมีการแทรกแนววิทยาศาสตร์และประวัติศาสตร์ล้อไปกับโครงเรื่องหลักด้วยเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอนาคตที่ภาพยนตร์มีความยาวเพียง 5 วินาที หรือหนังสารคดีที่ความยาวเหลือ 1 นาทีนั้น ก็ดูจะเป็นไปได้เมื่อเทียบกับลักษณะการเสพสื่อวิดีโอของคนในยุคปัจจุบัน
ถึงแม้ว่านั่นอาจจะไม่ใช่ประเด็นหลักของเรื่อง แต่เรามองว่ามันคือกลไกที่ทำให้คนดูอย่างเราได้มองเห็นความหมายของการสร้างหรือการมีภาพยนตร์ได้อย่างลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น พูดง่าย ๆ ก็คือ ภาพยนตร์เรื่องนี้ช่างเหมาะกับการสร้างขึ้นมาเพื่อสรรเสริญการมีอยู่ของภาพยนตร์
ในส่วนของประวัติศาสตร์นั้น ตัวเราเองอาจจะไม่ได้เห็นภาพชัดเจนมากนัก แต่ภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ทำให้เราหันมาสนใจประวัติศาสตร์ภาพยนตร์ซามูไรของญี่ปุ่นได้ไม่น้อย ซึ่งก็น่าจะเป็นไปตามความตั้งใจของคุณมัตสึโมโตะ ผู้กำกับภาพยนตร์ที่มองว่าเด็กวัยรุ่นญี่ปุ่นไม่ค่อยชอบดูหนังพีเรียด โดยเฉพาะหนังซามูไรที่เรียกได้ว่าแทบจะสูญพันธุ์ไปแล้ว
และเพราะมีวิทยาศาสตร์ รวมถึงประวัติศาสตร์ที่ถูกวางไว้ในโครงของเรื่องนี้ด้วย นั่นจึงทำให้เรารู้สึกถึงความเชื่อมโยงระหว่างอดีต ปัจจุบัน และอนาคตที่ล้อกันไปมาตลอดทั้งเรื่องได้อย่างสนุกสนาน ไม่หนักเรื่องใดเรื่องหนึ่งจนเกินไป ทำให้คนที่ไม่ชอบหนังพีเรียดก็ดูได้ หรือคนที่ไม่ชอบหนังโรแมนติกคอมเมดี้ก็ดูได้เช่นกัน
ความดีงามที่ประทับใจเรามากที่สุดของเรื่องนี้ก็คือ “ทัศนคติเชิงบวก” แน่นอนว่าภาพยนตร์ทุกเรื่องจะต้องมีจุดขัดแย้งที่นำไปสู่เรื่องราวที่น่าสนใจมากยิ่งขึ้นหรือจุดไคลแม็กซ์ของเรื่อง โดยจุดขัดแย้งในภาพยนตร์ส่วนใหญ่จะนำมาซึ่งความรู้สึกเชิงลบอย่างเครียด เศร้า ตระหนก ฯลฯ แต่สำหรับ It’s a Summer Film! นั้น แม้จะมีจุดขัดแย้งอยู่ แต่เรื่องราวเหล่านั้นกลับนำเสนอมุมมองหรือทัศนคติเชิงบวกได้ดีมาก ๆ โดยเฉพาะเรื่องราวการทำหนังของทั้ง 2 ทีม (ทีมเท้าเปล่าและทีมคาริน) ที่ถึงแม้ว่าทิศทางจะแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง แต่ทั้ง 2 ทีมต่างก็จริงจังและทุ่มเทแรงกายแรงใจไปกับแนวทางที่พวกเธอเลือก นั่นทำให้เราได้เห็นและเข้าใจว่า “แม้ว่าคุณจะสร้างคู่แข่ง แต่คุณก็ไม่จำเป็นต้องสร้างศัตรู“
It’s a Summer Film! บอกกับเราว่า “การดวลดาบก็โรแมนติกได้เหมือนกันนะ”
ฉากที่สุดแสนจะโรแมนติกของเรื่องนี้ คงหนีไม่พ้นฉากในตอนท้ายของเรื่อง ในวันงานเทศกาลของโรงเรียนที่เท้าเปล่าหยุดการฉายภาพยนตร์กลางคัน พร้อมประกาศออกมาต่อหน้าคนดูว่าเธออยากจะถ่ายฉากสุดท้ายใหม่อีกครั้ง! หลังจากนั้นก็มีการดวลดาบ รวมถึงแลกเปลี่ยนคำพูดกันระหว่างเท้าเปล่าและรินทาโร มันเป็นฉากสารภาพรักที่แหวกแนว แต่ก็โรแมนติกได้อย่างไม่น่าเชื่อ
อีกทั้งจังหวะจะโคนของฉากนี้ยังวางไว้ได้น่าประทับใจสุด ๆ มันเป็นความรู้สึกที่น่าสนใจมาก ๆ เพราะในขณะที่เราอยากจะรู้ว่าภาพยนตร์ซามูไรที่ทีมเท้าเปล่าตัดต่อออกมานั้นตอนจบจะตัดออกมาแบบไหน ในขณะเดียวกันก็ต้องลุ้นกับสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นด้วยว่าจะจบอย่างไร มันแบบ “อยากให้หนังในหนังได้ฉายจนจบ แต่ก็อยากเห็นด้วยว่าหนังที่เรากำลังตั้งใจนั่งดูอยู่นี้จะจบลงอย่างที่หวังไหมด้วย” เป็นความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูกจริง ๆ แต่ชอบมาก ๆ
นอกจากนี้ยังเหมือนได้ดูฉากในมิวสิควิดีโอเพลงแบบไม่ต้องมีคำพูดมากมายที่ถูกนำมายืดขยายให้ได้เห็นรายละเอียดของเรื่องราวได้ชัดเจนมากขึ้นด้วยเช่นกัน
โดยสรุปคือ ภาพยนตร์เรื่องนี้เหมาะเป็นอย่างยิ่งกับคนที่มีความคิดอยากจะริเริ่มสร้างอะไรสักอย่างที่มาจากความชื่นชอบ หรือมีเป้าหมายอะไรสักอย่างที่อยากจะทำให้สำเร็จ เพราะเป็นหนังอีกเรื่องที่ปลุกพลังใจให้เราลองลุกขึ้นมาทำอะไรสักอย่างเพื่อไปให้ถึงเป้าหมายที่ตั้งใจไว้ได้ดีมาก ๆ อีกทั้งยังเป็นหนังที่ช่วยสะกิดเตือนให้เราได้ใช้ช่วงเวลาต่าง ๆ ในชีวิตให้เต็มที่ เฉกเช่นในเรื่องนี้ที่บอกกับเด็ก ๆ ม.ปลายว่าจงใช้ช่วงเวลาดี ๆ ของซัมเมอร์สุดท้ายในวัยเยาว์นี้ให้เต็มที่นะ!
สุดท้ายและท้ายสุด สำหรับเราแล้ว ภาพยนตร์เรื่องนี้ถือเป็นผลงานชิ้นเอกที่เต็มไปด้วยความรักในภาพยนตร์ที่จะทำให้คนดูได้จดจำความสนุกของการชมภาพยนตร์ และทำให้เราหลงรักการมีอยู่ของภาพยนตร์ได้มากขึ้นอย่างแน่นอน
Official website: คลิก
เรื่องและ Cover Illustration: ทัศวีร์ เจริญบุรีรัตน์
อ่าน “ชวนตามรอย THE END OF THE PALE HOUR กับ 3 ฉากพื้นที่สาธารณะสุดเก๋” คลิก
“ฤดูกาลแห่งซากุระและการชมดอกไม้” คลิก