สัมผัสรสชาติอันเป็นเอกลักษณ์หนึ่งเดียวของชาบู-ชาบู และสุกี้ญี่ปุ่น ที่ SAKAE
เข้าสู่ช่วงเดือนสุดท้ายของปีแล้ว ช่วงเวลาของเทศกาลแห่งความสุขส่งท้ายปีแบบนี้ ดาโกะเชื่อว่าหากไม่มีการแพร่ระบาดของโควิด-19 ใครหลายคนคงเตรียมเก็บกระเป๋าเพื่อออกเดินทางสู่ประเทศญี่ปุ่น ประเทศที่เป็นหมุดหมายทั้งในเรื่องของสถานที่ท่องเที่ยวที่สวยงาม เทคโนโลยีที่ล้ำสมัย และแน่นอนว่ามีเมนูอร่อยๆ มากมายให้คนรักอาหารญี่ปุ่นรอได้ไปลิ้มลอง ไม่ว่าจะเป็นซูชิ ซาชิมิ ราเมง ดงบุริ เทปปันยากิ ชาบู-ชาบู หรือสุกี้ยากี้ เป็นต้น SAKAE
แต่เนื่องด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 นั้น การเดินทางระหว่างประเทศจึงยังคงเป็นไปได้ยาก แต่การหักห้ามใจไม่ให้คิดถึงญี่ปุ่นก็คงเป็นไปไม่ได้ ในช่วงเวลาเช่นนี้การได้มีโอกาสลิ้มรสชาติอันเป็นเอกลักษณ์ของญี่ปุ่นผ่านเมนูอร่อยสุดพรีเมียมสักเมนูคงเป็นตัวช่วยที่จะคลายความคิดถึงญี่ปุ่นให้กับพวกเราได้ไม่น้อย และเมื่อนึกถึงอาหารญี่ปุ่น ภาพตอนที่บรรจงจุ่มเนื้อวากิวลายเนื้อสวยๆ ลงในหม้อน้ำซุปสุกี้ยากี้ที่กำลังเดือดปุดๆ ก่อนจะนำขึ้นมาชุบไข่ดิบและกินกับข้าวสวยร้อนๆ ก็ผุดขึ้นมาในความคิดของเราทันที
จะปล่อยให้ภาพดังกล่าวอยู่เพียงแต่ในจินตนาการก็ใช่เรื่อง มีแต่จะทำให้ความคิดถึงญี่ปุ่นนั้นทวีคูณมากยิ่งขึ้น ดังนั้นเราจึงขอนำเสนอ “ซาคาเอะ” (SAKAE : The Signature Taste of Shabu and Sukiyaki) ร้านอาหารญี่ปุ่นกับบริการระดับพรีเมียมที่จะช่วยให้คุณได้คลายความคิดถึงญี่ปุ่นลงไปได้บ้าง ผ่านการมอบประสบการณ์อาหารญี่ปุ่นขนานแท้ ด้วยรสชาติอันเป็นเอกลักษณ์ของญี่ปุ่นคือชาบู-ชาบูและสุกี้ญี่ปุ่นนั่นเอง!
สุดยอดวัตถุดิบที่ได้รับการคัดสรรและนำเข้าจากต่างประเทศ
“ซาคาเอะ” ชูสุดยอดทีเด็ดของร้าน โดยการคัดสรรและนำเข้าวัตถุดิบสุดพรีเมียมจากต่างประเทศ ได้แก่ เนื้อวากิว ระดับ A4 (Japanese Wagyu (A4) Beef), เนื้อวากิว ระดับ F1 (Japanese Tokusen Wagyu (F1) Beef) และเนื้อซาคาเอะ ซิกเนเจอร์ (Sakae Signature Beef) หรือเนื้อส่วนสันคอวัว และสำหรับคนที่ไม่กินเนื้อวัว ทางร้านก็มีเมนูเนื้อหมูพรีเมียมให้เลือกสั่งแทนได้เช่นกัน
ส่วนรูปแบบการเสิร์ฟนั้นจะจัดเสิร์ฟเป็นชุดต่อคน พร้อมเครื่องเคียง และน้ำซุปต้นตำรับ ซึ่งมีให้เลือก 2 สูตรคือ น้ำซุปน้ำใส สำหรับชาบู-ชาบู และน้ำซุปน้ำดำ สำหรับสุกี้ยากี้ ที่ช่วยชูรสชาติของวัตถุดิบให้โดดเด่นมากยิ่งขึ้น
เมนูแนะนำของซาคาเอะนั้นหลักๆ แล้วมีด้วยกัน 5 ชุดคือ ชุดเนื้อวากิว A4 (ราคาชุดละ 1,400 บาท), ชุดเนื้อวากิว F1 (ราคาชุดละ 1,100 บาท), ชุดเนื้อซาคาเอะ ซิกเนเจอร์ (ราคาชุดละ 900 บาท) ชุดเนื้อหมูพรีเมียม (ราคาชุดละ 490 บาท) และสำหรับใครที่เลือกไม่ได้ว่าจะกินเนื้ออะไรดีก็มีชุดเนื้อ 3 แบบ (ราคาชุดละ 1,150 บาท) ให้สั่งมาเปิดประสบการณ์รสชาติเนื้อทั้ง 3 แบบในคราวเดียวได้ด้วยเช่นกัน
โดยเราสามารถเลือกน้ำซุปได้จาก 2 สูตรที่แนะนำไปในเบื้องต้น ใครที่ชื่นชอบซุปรสชาติเบาๆ แต่กลมกล่อม ขอแนะนำเป็นซุปน้ำใส ส่วนใครที่ชอบซุปรสชาติเข้มข้นก็ต้องเป็นน้ำซุปน้ำดำ เนื้อแต่ละแบบก็จะมีความแตกต่างกันไปออกไป หากใครที่ชื่นชอบเนื้อที่มีสัมผัสนุ่มแบบละลายในปาก แน่นอนว่าต้องเป็นเนื้อวากิว A4 เนื้อสันส่วนที่ติดมันและได้รับการกล่าวขานว่าเป็นเนื้อส่วนที่ดีและอร่อยที่สุด มีความแน่นละเอียด อีกทั้งยังชุ่มฉ่ำด้วยไขมันที่แทรกเป็นลายหินอ่อนสวยงามอยู่ในเนื้อ
หรือใครที่อยากจะเพิ่มระดับความหนึบขึ้นมาหน่อยก็จะเป็นเนื้อวากิว F1 หรือเนื้อส่วนสันคอ ที่ได้มาจากวัวสายพันธุ์คุณภาพดีที่เกิดจากการผสมข้ามสายพันธุ์ระหว่างสายพันธุ์วากิวแท้ 100% กับสายพันธุ์วัวนมญี่ปุ่น มีเนื้อสัมผัสนุ่ม หนึบ และรสชาติเข้มข้น เทียบเท่ากับเนื้อวากิว ระดับ A3
และสุดท้ายเนื้อที่ให้สัมผัสหนึบที่สุดคือเนื้อซาคาเอะ ซิกเนเจอร์ หรือเนื้อส่วนสันคอวัว จุดเด่นของเนื้อส่วนนี้คือเป็นส่วนที่มีคอลลาเจนอยู่มากจึงมีรสชาติที่เข้มข้นและกลมกล่อม ส่วนเนื้อหมูพรีเมียมนั้นก็รสชาติดีไม่แพ้เนื้อวัว เป็นเนื้อส่วนสันคอหมู คุณภาพระดับพรีเมียมซึ่งมีริ้วไขมันแทรกอยู่บางๆ ให้รสสัมผัสนุ่ม เด้งกำลังดี
นอกจากตัวเนื้อที่เป็นจุดเด่นแล้ว ภายในชุดจะเสิร์ฟมาพร้อมกับ Appetizer, ผัก, ข้าวหรืออินะนิวะอุด้ง และของหวาน ซึ่งดีงามไม่แพ้เนื้อ ตัว Appetizer มีให้เลือกสั่ง 2 เมนูคือสลัดมะเขือเทศ ด้วยความเย็นและความสดของมะเขือเทศบวกกับซอสที่มีกลิ่นของส้มยูซุจึงเพิ่มความสดชื่นให้กับร่างกายและเรียกน้ำย่อยได้เป็นอย่างดี ส่วนอีกเมนูคือเต้าหู้โกมะที่มีความหนึบเบาๆ คล้ายขนมโมจิ อีกทั้งยังมีรสชาติและกลิ่นหอมของงาดำอีกด้วย
หลังจากกินชุดเนื้อและเครื่องเคียงจนหมดเกลี้ยงแล้ว ก็สามารถปิดท้ายมื้ออร่อยได้ด้วยไอศกรีมส้มยูซุ ไอศกรีมเชอร์เบทรสส้มยูซุที่เปรี้ยวกำลังพอดี ท็อปปิ้งด้วยเจลลี่รสน้ำผึ้งที่หวานนิดๆ เข้ากันดีเป็นที่สุด!
ความรุ่งเรืองอันยั่งยืนคือความหมายของซาคาเอะ
สำหรับบรรยากาศและการออกแบบภายในนั้น ร้านเน้นเป็นแบบเรียบ หรู สื่อความเป็นญี่ปุ่นด้วยสีสันพร้อมลวดลายของไม้ตามธรรมชาติ ตัดเส้นขอบโค้งและมุมตามจุดต่างๆ ด้วยกระจกและอลูมิเนียมสีทอง-ดำ ผสานเข้ากับกราฟิกศิลปะและวัฒนธรรมญี่ปุ่นแบบดิจิทัล พร้อมจัดแสงไฟโทนสีอบอุ่น ให้ความรู้สึกคลาสสิกร่วมสมัย และแบ่งพื้นที่ออกเป็น 3 โซน Ring A (28 ที่นั่ง) , Ring B (20 ที่นั่ง) และ Ring C (20 ที่นั่ง) ซึ่งแต่ละโซนก็จะมีเชฟและพนักงานคอยให้บริการด้วยจิตวิญญาณแห่งโอโมเตะนาชิสไตล์ญี่ปุ่นขนานแท้
ในส่วนของโลโก้ร้านนั้นก็มีความหมายที่ดีมากๆ ด้วยเช่นกัน โลโก้ได้รับการออกแบบและสร้างสรรค์อย่างประณีต เป็นการผสมผสานสัญลักษณ์อันโดดเด่น 2 อย่างเข้าไว้ด้วยกันคือเมล็ดพันธุ์ข้าวและน้ำพุ 5 สายวางสลับกันไปมาเป็นวงกลม มีลักษณะคล้ายดอกไม้ ตรงกลางเป็นตัวอักษรคันจิ คำว่า “栄” (อ่านว่า ซา-คะ) ที่สื่อถึงความรุ่งเรืองอันยั่งยืน ตามความหมายของชื่อร้าน “ซาคาเอะ” นั่นเอง
เรียกได้ว่าไปที่ร้านนี้นอกจากจะได้คลายความคิดถึงญี่ปุ่นผ่านทั้งเมนูและวัตถุดิบที่คัดสรรมาเป็นอย่างดีแล้ว ยังมีบรรยากาศที่ให้ความรู้สึกประหนึ่งนั่งอยู่ในร้านอาหารระดับพรีเมียมที่ญี่ปุ่นอีกด้วย ดาโกะจึงขอแนะนำและเชิญชวนคุณผู้อ่านไปสัมผัสรสชาติอันเป็นเอกลักษณ์หนึ่งเดียวของชาบู-ชาบูและสุกี้ญี่ปุ่นกันที่ร้านอาหารญี่ปุ่น “ซาคาเอะ” กันดูสักครั้ง รับรองว่าหายคิดถึงญี่ปุ่นได้อย่างแน่นอน!
ร้านตั้งอยู่บริเวณชั้น 2 โครงการ เดอะ ปาร์ค ไลฟ์ – ถนนพระรามที่ 4 (แยกคลองเตย) เปิดให้บริการทุกวัน ระหว่างเวลา 11.00 – 21.00 น. สอบถามรายละเอียดข้อมูลเพิ่มเติม หรือสำรองที่นั่งล่วงหน้า โทร. 09-6774-8121