Shirakawago Summer
เราเชื่อว่าฤดูร้อนในญี่ปุ่นเป็นอีกฤดูที่ถ่ายรูปสนุกสนาน แล้วก็ได้เห็นภาพความเขียวขจีของฤดูกาลในช่วงเวลานี้ เสน่ห์ของธรรมชาติในฤดูร้อน เสียงจักจั่นหรือนกสดับขับขาน ทำให้เรายิ่งสัมผัสได้ถึงเสน่ห์อันแตกต่างจากฤดูกาลอื่นๆ
.
เราอยากชวนคุณผู้อ่านออกเดินทางท่องเที่ยวไปในฤดูร้อนที่ประเทศญี่ปุ่นช่วงเดือนกรกฎาคม – เดือนกันยายนของทุกปี โดยเฉพาะที่นี่่ “ชิราคาวะโก” (Shirakawago) หมู่บ้านมรดกโลกทางวัฒนธรรมในจ.กิฟุ ที่ทางองค์การยูเนสโกได้ประกาศขึ้นทะเบียนหมู่บ้านนนี้ ให้เป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมเมื่อปี พ.ศ.2538 มาแล้วค่ะ โดยหมู่บ้านนี้ตั้งอยู่ทางตอนกลางของเกาะฮอนชู ในภูมิภาคชูบุ ประเทศญี่ปุ่น ความน่าสนใจของที่นี่ก็คือแต่เดิมเป็นหมู่บ้านชาวนาที่มีรูปร่างแปลกตา คล้ายสองมือพนมของพระพุทธเจ้า จนถูกเรียกกันว่าบ้านสไตล์ “กัสโช่” (Gassho) ที่ในภาษาญี่ปุ่นแปลว่าพนมมือนั่นเอง การไปเยือนที่ชิราคาวะโกก็จะได้เห็นภาพบ้านเรือนสไตล์ญี่ปุ่นเก่าแก่ที่มีอายุอานามหลายร้อยปี และเน้นนำภูมิปัญญาของคนญี่ปุ่นในสมัยก่อนมาใช้ในการก่อสร้างทุกอณู ซึ่งวิธีการก่อสร้างหลังคาแบบนี้จะเอื้อประโยชน์สำหรับการใช้ชีวิตในช่วงฤดูหนาวไม่ให้หิมะตกทับถมหนา จนหลังคารับน้ำหนักไม่ไหวนั่นเองค่ะ
.
ช่วงฤดูร้อน – เดือนกรกฎาคม ถึง กันยายน ที่นี่จะกลายเป็นหมู่บ้านเล็กๆ ในหุบเขา มีดอกไม้สวยๆ พร้อมสีเขียวของต้นไม้ ดูแล้วสดชื่นมีชีวิตชีวา ที่สำคัญอย่าพลาดชิมซอฟท์ครีมชาเขียวอร่อยๆ ท่ามกลางธรรมชาติและวิวสบายตากันนะ
ภาพนี้ที่จุดชมวิวชิโรยามา(Shiroyama) เป็นภาพที่ไม่ว่าจะไปตอนฤดูไหนก็ประทับใจ แค่ยืนมองนิ่งๆ ก็มีความสุขแล้ว สำหรับเราเองไม่รู้ว่าภาพที่ถ่ายกลับมา มันจะอธิบายความสวยงามของที่นี่ได้เท่าที่ตาเห็นไหม แต่ก็อยากแนะนำให้ไปเที่ยวกันนะ ที่นี่สามารถเดินขึ้นไป หรือนั่งรถชัตเติ้ลบัสขึ้นไปก็ได้ค่ะ
ที่จุดชมวิวชิโรยามา(Shiroyama) จะมีมุมถ่ายรูป ร้านขายของฝากตั้งอยู่ด้วย สามารถซื้อซอฟท์ครีม ชิราคาวะโก ออริจินัล ไซเดอร์ ตุ๊กตาซารุโบโบะหลากสี หลากความหมาย หรือหยอดกาชาปองของที่ระลึกของที่นี่ได้ด้วยนะ
ต่อไปเราไปเดินชมหมู่บ้านกัน ใช้เวลาเดินราว 2- 3 ชั่วโมงกำลังดีค่ะ บ้านบางหลังเป็นพิพิธภัณฑ์มีเครื่องไม้เครื่องมือทำไร่ทำนาแบบโบราณจัดแสดงไว้ สามารถเข้าชมได้ แต่มีค่าใช้จ่ายนะคะ ระหว่างทางก็จะมีร้านขายของฝาก ร้านอาหาร ร้านขายเครื่องดื่ม ร้านซอฟท์ครีม บ้านบางหลังสามารถพักค้างคืนแบบมินโชกุ (เป็นห้องพักแบบญี่ปุ่นดั้งเดิม นอนบนฟูกและเสื่อทาทามิ รวมทั้งมีอาหารมื้อเย็นและเช้าไว้ให้บริการ) ได้ และมีฝาท่อลายหมู่บ้านด้วย ส่วนบ้านหลังไหนเขามีไม้กั้นไว้ หรือไม่ได้เขียนว่าเข้าไป ก็ห้ามเข้านะคะ เพราะที่นี่ยังมีบ้านที่ชาวบ้านอาศัยอยู่จริงๆ จึงห้ามรบกวนอย่างเด็ดขาดค่ะ
Shirakawa Hachiman Shrine
เราเดินตรงจากทางเข้าหมู่บ้านไปตามทางเรื่อยๆ จะพบกับศาลเจ้านี้อยู่ทางซ้ายมือ เป็นศาลเจ้าที่เย็นสบาย มีต้นไม้ และที่นั่งสำหรับพักผ่อนหย่อนใจ ด้านซ้ายมือเมื่อยืนอยู่ทางเข้าศาลเจ้าก็ยังเป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์ Doburoku Festival Museum ด้วย เนื่องจากที่หมู่บ้านนี้เขาจะจัดเทศกาลสาเก (ไวน์ข้าว) หรือเทศกาลโดบุโรกุที่มักจะจัดขึ้นเป็นประจำทุกปีในเดือนก.ย. – ต.ค. ภายในพิพิธภัณฑ์จึงทำการจำลองงานเทศกาลไว้ เสมือนวันจัดงานจริงๆ แถมยังมีให้ชมภาพวิดีโอของงานเทศกาลโดบุโรกุด้วย และเพื่อให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัสบรรยากาศของงานเทศกาลอย่างเข้าถึงมากขึ้น เมื่อเดินชมเสร็จ ทางพิพิธภัณฑ์จะมีโดบุโรกุสาเกให้ดื่มฟรีอีกด้วย (พิพิธภัณฑ์ปิดในช่วงฤดูหนาวต้องเช็คข้อมูลก่อนเดินทางนะจ๊ะ)
ส่วนที่ขาดไม่ได้เลยสำหรับช่วงฤดูร้อน ท่ามกลางแดดแรงๆ การได้หลบมุมนั่งพักมองภาพหมู่บ้านโบราณ ท้องฟ้าสีฟ้า ทิวเขาสวยที่โอบล้อมหมู่บ้าน และทุ่งนาสีเขียวขจี แอดมินแนะนำให้ลิ้มลองซอฟท์ครีมที่มีให้เลือกหลากหลายแบบ หลากหลายรสชาติมาดับร้อนด้วย กินไปฟินไปอย่างแน่นอน แต่ต้องระวังเลอะเทอะด้วยเพราะอากาศร้อนไอศกรีมก็จะละลายเร็วมากเช่นกันค่ะ
นอกจากเรื่องที่เล่ามา ที่หมู่บ้านมรดกโลก”ชิราคาวะโก” แห่งนี้ ยังมีวิวสะพานตัดกับแม่น้ำโชคาวะ(Shokawa River) สวยๆ สามารถเดินเล่นได้สะดวกในช่วงฤดูร้อน และภูเขาจะมีสีสันสวยงามในช่วงฤดูใบไม้ร่วง แนะนำให้ติดหมวก แว่นกันแดด ร่ม ทิชชู่เปียก รองเท้าผ้าใบที่สวมแล้วเดินสบาย และแนะนำให้ตรงดิ่งไปยังศูนย์บริการนักท่องเที่ยว เพื่อขอแผนที่ภาษาไทยของหมู่บ้านแห่งนี้ เพื่อใช้ประกอบการท่องเที่ยวที่นี่อย่างสนุกสนานยิ่งขึ้นด้วยค่ะ