Summer in Tohoku : แก๊งค์ซ่าป่วนซัมเมอร์ที่โทโฮคุ
โทโฮคุไม่ได้มีดีแค่ธรรมชาติเท่านั้น งานเทศกาลที่เรียกว่ามัตสึริ (Matsuri) ก็เด่นตามมาติด ๆ แต่ละเทศกาลมีการแสดงศิลปะที่มีเอกลักษณ์ของท้องถิ่นอย่างน่าสนใจ เช่น งานเฉลิมฉลองแห่โคมเนบุตะที่ใช้เวลาเตรียมการเกือบหนึ่งปีก่อนถึงงานจริง summer in tohoku
แล้วก็ถึงคราวที่แก๊งค์นี้รวมตัวกันครบได้ก็ตอนหน้าร้อน หน้าร้อนที่ใคร ๆ เขาก็บอกว่าญี่ปุ่นร้อนมาก แต่แก๊งค์นี้ไม่กลัว กลัวไม่ได้เที่ยวด้วยกันตะหาก เพราะกว่าจะว่างตรงกันก็นานข้ามชาติทีเดียว มติเสียงในแก๊งค์มองว่าเป็นโอกาสที่จะได้ไปร่วมงานเทศกาลประจำถิ่นที่ตื่นตาตื่นใจ ชาวแก็งค์จึงไม่รอช้า นัดมารวมหัว เอ้ย! รวมตัวกันจัดทริปเพื่อความสุขซ่าของแก๊งค์ที่จะท่องโทโฮคุช่วงซัมเมอร์ให้หายร้อน แต่กติกามีอยู่ว่าเลือกได้แค่คนละสองสถานที่เท่านั้นนะ เยอะกว่านี้ไม่ไหว… พร้อมเสียงพึมพำว่า “ไม่ใช่เวลา แต่เป็นตังค์ในกระเป๋าน่ะ” (ฮา)
ชมสองเทศกาลใหญ่แห่งโทโฮคุที่อาโอโมริและอาคิตะ กินโอมะมากุโระสายปลาดิบห้ามพลาด
อาโอโมริ (AOMORI)
ส่งเสียง รัซเซ่ รัสเซ่ ให้ครึกครื้น (Aomori Nebuta Matsuri)
นะนุ่นตะโกนแหวดังแหวกอากาศว่าขอเลือกที่นี่! แล้วละลักเล่าแบบยาวติดกันเป็นพรืดว่างานเฉลิมฉลองแห่ขบวนโคมเนบุตะที่อาโอโมริสิยิ่งใหญ่
“เนบุตะ” คือโคมไฟขนาดกว้างเกือบ 10 ม. และสูงถึง 5 ม. นำมาแห่เป็นขบวนไปทั่วเมือง โคมไฟประดิษฐ์ด้วยโครงลวดปิดกระดาษระบายสีเป็นเรื่องราวจากตำนานเทพ ละครคะบุกิ หรือเรื่องราวประวัติศาสตร์ แต่ละทีมจะมี Nebuta Master เป็นผู้ร่างภาพในกระดาษก่อนขึ้นโครงเป็นงาน 3 มิติ ใช้เวลาเตรียมงานกันล่วงหน้าเกือบปีก่อนถึงเทศกาล
ในขบวนมีทีมคอยให้สัญญาณจากเสียงขลุ่ยและพัด เพื่อให้ผู้ลากเคลื่อนไหวเนบุตะขนาดเกือบ 4 ตันอย่างครึกครื้น และยังมีวงดนตรี “ฮะยะชิคะตะ” ประกอบด้วยกลอง ขลุ่ย และฉาบ รวมถึงคณะเต้น “ฮาเนโตะ” ที่ส่งเสียง “รัซเซ่ รัสเซ่” สร้างความครึกครื้นของผู้คนให้เป็นหนึ่งเดียว
ที่มาของประเพณีแห่โคมเนบุตะเริ่มจากชาวไร่ชาวนาประดิษฐ์โคมและลอยออกไปในทะเล เป็นสัญลักษณ์ของการลอยความเหนื่อยล้าง่วงนอนทิ้งไป คำว่า ‘เนมุไต’ ซึ่งแปลว่าง่วงนอนนั้นก็กลายมาเป็นคำว่า ‘เนบุตะ’ ในเวลาต่อมา เมื่อเวลาผ่านไป โคมเนบุตะใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ ต้องแห่ไปตามถนนแทน จากประดิษฐ์กันง่าย ๆ ก็กลายมาเป็นงานตั้งใจออกแบบอย่างยิ่งใหญ่อลังการเพื่อประกวดประชันกันทุกปี
นะนุ่นเล่าต่ออีกว่า ถ้าพลาดงานจริงก็เข้าชมได้ที่พิพิธภัณฑ์เนบุตะ วารัสเสะ (Nebuta Warasse) ที่จัดเต็มความน่าสนใจการเล่าเรื่องเนบุตะ ขบวนแห่จำลองที่แบ่งออกเป็นรอบ ๆ สร้างบรรยากาศครื้นเครงเหมือนงานจริง และยังมีกิจกรรมการทำโคมไฟด้วย
โคมจัดแสดงก็คือโคมที่ชนะเพียง 5 ชุดจากงานจริง ซึ่งจะเปลี่ยนทดแทนด้วยโคมที่ชนะในปีถัดไปเรื่อย ๆ
ส่วนโคมที่ไม่ผ่านการคัดเลือกจะถูกเผาทิ้งตามความเชื่อโบราณ
ช่วงเทศกาล : วันที่ 2 – 7 สิงหาคม ของทุกปี
การเดินทาง : สถานที่จัดงานเทศกาลเนบุตะอยู่บริเวณถนนชินมาจิ ซึ่งจะใช้เวลาเดินเท้าจากสถานีรถไฟเจอาร์อาโอโมริทางออกทิศตะวันออก (East Exit) ประมาณ 5 นาที
Nebuta Warasse Museum
ค่าเข้าชม : 620 เยน
เวลาเปิด – ปิด : 09.00 – 19.00 น. (เดือนกันยายน – เมษายน ปิด 18.00 น.)
วันปิดทำการ : วันที่ 31 ธันวาคม – 1 มกราคม
รูปประกอบ : www.tohokukanko.jp/sozaishu/detail_1003300.html
.รูปประกอบ : www.tohokukanko.jp/sozaishu/detail_1001893.html
ดูงานศิลปะ Standing Woman (Towada Art Center)
อาร์ตี้ส่งที่นี่เข้าประกวดพร้อมเสียงเนิบนาบแบบง่วง ๆ ตามสไตล์ว่า อยากไปที่นี่มานานแล้ว ได้แต่คอยแอบส่องไอจีอย่างเดียว อาร์ตี้บอกว่า ศูนย์ศิลปะโทวาดะ (Towada Art Center) จัดแสดงงานศิลปะของศิลปินจากทั่วทุกมุมโลกเลย ผลงานศิลปะที่ชื่อ Standing Woman โดยศิลปินชาวออสเตรเลีย Ron Moeck เป็นประติมากรรมรูปผู้หญิงตัวสูงเกือบถึงเพดานอาคาร มีผิวหนังเหมือนคนจริงมาก ๆ
ส่วนงานของ Yoko Ono ศิลปินชาวญี่ปุ่นภรรยาของ John Lennon กับงาน Wish Tree ก็ใช้ต้นแอปเปิ้ลของจังหวัด
อาโอโมริ และด้านนอกมีงานม้ายืนสองขาทั้งตัวเต็มไปด้วยดอกไม้สีสันสดใสเป็นงานของศิลปินชาวเกาหลี Choi Jeong Hwa
สำหรับศิลปินชาวญี่ปุ่น Yayoi Kusama เป็นงานลายจุดของฟักทอง เด็กผู้หญิง และเห็ด มองไปที่ไหน ๆ ก็มีงานให้ชม ขนาดกำแพงด้านนอกยังมีภาพของ Yoshitomo Nara ที่นี่มีร้าน Cube Café & Shop ให้หาซื้อของอร่อยหรือของที่ระลึกติดมือกลับเมืองไทยแบบเต็มอิ่มกับอาร์ตให้สุดไปเลยด้วย
เว็บไซต์ : https://towadaartcenter.com/en
ค่าเข้าชม : นิทรรศการถาวร 520 เยน, นิทรรศการพิเศษ 800 เยน, นิทรรศการถาวรรวมกับนิทรรศการพิเศษ 1,200 เยน
เวลาเปิด -ปิด : 09.00 – 17.00 น. (เข้าชมก่อน 16.30 น.) หยุดทุกวันจันทร์ (หากวันจันทร์เป็นวันหยุดราชการจะปิดทำการในวันถัดไป)
การเดินทาง :
โดยรถไฟ
สามารถนั่งรถไฟโทโฮคุ ชินคันเซ็น (Tohoku Shinkansen) มาลงที่สถานีฮาจิโนเฮะ (Hachinohe station)
หรือสถานีชิจิโนเฮะ โทวาดะ (Shichinohe-Towada station) จากนั้นต่อด้วยรถบัส
จากสถานีฮาจิโนเฮะ :
นั่งรถบัสสาย Towada Kanko Dentetsu ที่ทางออกฝั่ง East และลงที่ป้าย Kanchogaidori จากนั้นเดินต่ออีกประมาณ 5 นาที (ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง)
นั่งรถบัสสาย JR Oirase-go ที่ทางออกฝั่ง West รถบัสจอดที่หน้า Towada Art Center (ใช้เวลาประมาณ 40 นาที) เช็คเส้นทางและตารางเวลาเพิ่มเติมได้ที่ www.jrbustohoku.co.jp/en
จากสถานีชิจิโนเฮะ โทวาดะ :
นั่งรถบัสสาย Towada Kanko Dentetsu ที่ป้ายรถหมายเลข 1 ทางออกฝั่ง South
*รูปประกอบ : https://aomori.travel/towada-art-center
ละลายในปากกับโอมะ มากุโระ (Oma Maguro Don)
แจนนี่เกิดมาเพื่อสิ่งนี้ เพราะแจนนี่ยกมือต่อจากอาร์ตี้ว่า สดแน่นและนุ่มละลายในปาก ชาวแก๊งค์ส่งเสียงขานรับเซ็งแซ่ว่าต้องได้กินของถูกใจแน่เพราะแม่มาแล้ว เสียงเจื้อย ๆ ของแจนนี่ที่เล่า ทำเอาเพื่อน ๆ เคลิ้มน้ำยายไหลย้อย เขียนไม่ผิดนะ
เมืองโอมะเป็นแหล่งจับปลามากุโระ ครีบน้ำเงินที่เป็นสายพันธุ์ที่ใหญ่ที่สุดในบรรดาปลามากุโระ และเป็นระดับท็อปของ
มากุโระด้วย ลักษณะพิเศษก็คือความหวานที่กระจายไปทั่วปากเวลาเคี้ยว เนื้อนุ่มละลายในปาก
ข้าวหน้าโอมะมากุโระที่มีข้าวสวยร้อน ๆ โปะหน้าด้วยเนื้อปลามากุโระสด ๆ และราคาสบายกระเป๋า มีเสิร์ฟตั้งแต่เดือนกรกฎาคมถึงธันวาคมซึ่งเป็นช่วงฤดูตกปลามากุโระ ถ้าไปเที่ยวอาโอโมริแล้วไม่ได้กินถือว่าพลาดมาก
สถานที่ : ร้านอาหารทั่วไป
–รูปประกอบ : www.tohokukanko.jp/sozaishu/detail_1008920.html
อาคิตะ (AKITA)
แข่งกันเดือดมากในเทศกาลอาคิตะคันโต (Akita Kanto Matsuri)
หนุ่มพลังเยอะอย่างพายุอยากดูอะไรที่มันกระตุ้นพลังงานในร่างให้แล่นพล่าน พายุเลยเสนอเทศกาลอาคิตะคันโต เพราะเรื่องที่ได้อ่านมันน่าไปโดนจริง ๆ การใช้ทักษะและกำลังในการทรงตัวเลี้ยงไม้ไผ่สูงถึง 12 ม. และหนักถึง 50 กก. มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะต้องฝึกฝนเพื่อเข้าแข่งขันในงานได้ และงานนี้ยังเป็นหนึ่งในสามของงานเทศกาลใหญ่ยักษ์ที่สุดของโทโฮคุเลยแหละ
เทศกาลนี้จัดขึ้นทุกปีช่วงเดือนสิงหาคม เพื่อขอพรด้านผลผลิตและขับไล่ความเจ็บป่วยในช่วงฤดูร้อน ด้วยการแข่งขันเชิดเสาโคมไฟ (คันโต) ที่แขวนโคมไฟไว้บนแผงไม้ไผ่บนเสาไม้ไผ่ต้นเดียว ส่วนตัวโคมมีลวดลายเฉพาะแต่ละเมือง งานใหญ่มากแบบมีผู้ชมกว่าล้านคน และเป็นทรัพย์สินทางวัฒนธรรมพื้นบ้านที่จับต้องไม่ได้ระดับชาติ
ชุดโคมไฟคันโตที่ดูเหมือนรวงข้าวมีขนาดใหญ่ที่สุดสูงถึง 12 ม. และมีน้ำหนักตั้งแต่ 5 – 50 กก.
แขวนโคมไว้ประมาณ 24 – 46 อันแล้วแต่ขนาด การไม่อยู่นิ่งเพราะความโค้งและไหวตามแรงลมของโคมไฟทำให้ผู้ถือต้องใช้ความสามารถเลี้ยงชุดโคมไฟนั้นไว้บนฝ่ามือ หน้าผาก หัวไหล่ หรือเอวให้ได้
ช่วงกลางวันมีการประกวดแข่งกันอย่างดุเด็ด ทั้งผู้คุมโคมไฟและทีมนักดนตรี ที่มาโชว์ทักษะการทรงตัวและใช้พละกำลังมหาศาลเพื่อย้ายชุดโคมไฟคันโตที่โค้งงอราวกับรวงข้าวไปยังส่วนต่าง ๆ ของร่างกายอย่างต่อเนื่องให้เข้ากับเสียงเพลงประกอบจังหวะ ทำให้คนดูตื่นตาตื่นใจจนเผลออุทานส่งเสียงเชียร์ด้วยความหวาดเสียวว่าจะหล่น
ส่วนตอนกลางคืนถนนสายหลักจะสว่างไสวด้วยโคมไฟคันโตที่มารวมกันเกือบสามร้อยชุดหรือเกือบหนึ่งหมื่นดวง เวลาที่โคมไฟสั่นไหวให้ความรู้สึกเหมือนเห็นรวงข้าวสีทองที่มาแต่งแต้มให้เมืองเกิดสีสัน ในงานนี้ยังมีเทศกาลชิมอาหารท้องถิ่นที่มีของขึ้นชื่อประจำจังหวัด เช่น โยโกเทะ ยากิโซบะโปะหน้าไข่ดาว และบาบาเฮระไอศกรีมที่เย็นสดชื่นช่วยคลายร้อนได้เป็นอย่างดีด้วย
ช่วงเทศกาล : วันที่ 3 – 6 สิงหาคม ของทุกปี
การเดินทาง : บริเวณที่จัดเทศกาลนี้คือถนนคันโตซึ่งจะใช้เวลาเดินเท้าจากสถานีอาคิตะประมาณ 15 นาที
–รูปประกอบ : https://akita-fun.jp/photo_gallery
ดื่มด่ำกับภาพวาดมังงะต้นฉบับ 400,000 ภาพ (Yokote Masuda Manga Museum)
โว้ว ๆ ๆ ๆ เสียงของแจแปนดังรัว ทำให้เพื่อน ๆ ได้ยินเสียงมาแต่ไกล แจแปนได้แต่สาธยายยาวมากว่า มายก็อด บ้าบอไปแล้ว ไปอยู่ที่ไหนมา ทั้งอาคารมีมังงะทุกที่ทุกทาง จะอยู่ในห้องน้ำให้นานเลยจะได้ไล่ดูภาพที่ผนัง แม้แต่หน้าต่างก็มีลูกเล่นการ์ตูน แหม่!! พูดไม่มีช่องว่างซะขนาดนี้ สายมังงะอย่างแจแปนต้องไปที่นี่แล้วป่าว
พิพิธภัณฑ์มังงะมาสึดะเป็นพิพิธภัณฑ์แนวมังงะแห่งแรกและแห่งเดียวในญี่ปุ่นโดยมีธีมคอลเลกชันของมังงะต้นฉบับ ไฮไลท์อยู่ที่ Manga Warehouse Exhibition Room ที่สร้างขึ้นใหม่ในห้องจัดแสดงภาพวาดต้นฉบับของนักวาดการ์ตูนในประเทศญี่ปุ่นที่มีชื่อเสียงประมาณ 400,000 ภาพ
รวมถึงงานของคุณทาคาโอะ ยางุจิ นักวาดการ์ตูนที่มีชื่อเสียงของเมืองมาสึดะถูกจัดเก็บรักษาและแสดงอยู่ในห้องนิทรรศการถาวรที่มีต้นบีชเป็นสัญลักษณ์ตั้งตระหง่านอยู่
คุณยากุจิ ทาคาโอะ มีผลงานชื่อ “ซันเปฟิชชิ่งบอย” หรือ Tsurikichi Sanpei ถือเป็นการ์ตูนตกปลาที่โด่งดังที่สุดในญี่ปุ่น เขียนตั้งแต่ปี ค.ศ.1973 มีทั้งภาคหลักและภาคเสริม เคยสร้างเป็นแอนิเมชั่นและสร้างเป็นหนังที่มีคนแสดงจริงด้วย ผลงานล่าสุดก่อนที่จะเสียชีวิตชื่อ “Versus Gyoshin-san!”
ขอขอบพระคุณ บก.หมีมากๆ ครับที่ทำให้คนชื่อแจแปนได้อยู่ในโลกมังงะ (https://borkormee.com)
นอกจากกำแพงการ์ตูนญี่ปุ่นยักษ์สูง 10 ม. ที่เต็มไปด้วยฉากในการ์ตูนซึ่งมีชื่อเสียงและเป็นศิลปะชิ้นเอกของญี่ปุ่นแล้ว ความเพลิดเพลินที่พิพิธภัณฑ์มอบให้คือการมองหาผลงานที่ชวนคิดถึง หรือการได้ไปอ่านต่อจากหนังสือที่รวบรวมไว้ให้อ่านกว่า 25,000 เล่มในห้องสมุด Manga Library
เมื่อได้เห็นภาพการ์ตูนหรือคำพูดที่แทรกอยู่ทุกที่ทุกทาง สายมังงะจะได้เต็มอิ่มกับวัฒนธรรมมังงะและการผลิตมังงะอย่างลึกซึ้งจากห้องนิทรรศการต่าง ๆ อย่างใกล้ชิด ได้สัมผัสตัวตนของศิลปะดั้งเดิมและได้ดูภาพดิจิตอลรายละเอียดสูงของงานนี้จากจอขนาดใหญ่ซึ่งสามารถค้นสิ่งที่อยากดูได้ หรือดูเทคนิคการเขียนเส้นปากกาที่ละเอียดอ่อนแต่ละรูปได้อย่างใกล้ชิด มีงานเวิร์คช็อป มีนิทรรศการหมุนเวียน และถ้าหิวก็ยังมีเมนูเกี่ยวกับมังงะที่ Manga Café รวมถึงยังมีภาพพิมพ์และของที่ระลึกต่าง ๆ ให้ซื้อด้วย
เว็บไซต์ : http://manga-museum.com
ค่าเข้าชม : เข้าชมฟรีสำหรับการจัดแสดงถาวร (มีค่าเข้าชมสำหรับการจัดแสดงพิเศษ)
เวลาเปิด – ปิด : 10.00 – 18.00 น. (เข้าชมก่อน 17.30 น.) หยุดทุกวันอังคารที่สามของเดือน (หากตรงกับวันนักขัตฤกษ์จะปิดทำการในวันถัดไป)
การเดินทาง : ลงรถไฟ JR สถานีจูมองจิ (Jumonji) ขึ้นรถบัสจากสถานี Jumonji บน JR Ou Main Line แล้วลงที่ป้ายรถบัส Kuranoeki จากนั้นเดินต่อเป็นเวลาประมาณ 10 นาที
รูปประกอบ : www.tohokukanko.jp/sozaishu/detail_1007141.html
**สถานที่ท่องเที่ยว เทศกาลและกิจกรรมต่าง ๆ อาจถูกยกเลิก เลื่อนวัน-เวลา หรือปิดชั่วคราวเนื่องจากผลกระทบของการติดเชื้อโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่ ดังนั้นโปรดตรวจสอบอีกครั้งก่อนเดินทางท่องเที่ยว**
เรื่องโดย Data & Communique Express Co., Ltd.
หากต้องการทราบข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับโทโฮคุคลิกที่นี่!
“Spring in Tohoku : ใบไม้ผลิที่โทโฮคุ ฝันอยากไปดูซากุระและชมธรรมชาติ” คลิก