ทริปตามล่าใบไม้แดงที่โทโฮคุ (Tohoku) ตอนที่ 1
หากพูดถึงการท่องเที่ยวญี่ปุ่นในช่วงนี้คงจะเป็นอื่นไม่ได้นอกจากการชมใบไม้เปลี่ยนสี หลายคนที่ตั้งใจจะเดินทางไปท่องเที่ยวญี่ปุ่นในปีนี้ต่างก็ต้องพับทริปลงกระเป๋าและเลื่อนตั๋วออกไปอย่างไม่มีกำหนด ดาโกะจึงขออาสาพาทุกคนไปตามล่าใบไม้แดงด้วยกันผ่านบันทึกการเดินทางและรูปภาพสวยๆ จากตัวแทนของเรา พร้อมแจกแพลนท่องเที่ยวโทโฮคุ (Tohoku) ไปด้วยในตัว
ถือว่าได้ท่องเที่ยวญี่ปุ่นผ่านตัวอักษรและรูปภาพกันแบบเพลินๆ และเก็บเป็นข้อมูลสำหรับการท่องเที่ยวญี่ปุ่นเมื่อเวลาแห่งการท่องเที่ยวระหว่างประเทศกลับมาเป็นเหมือนเดิมอีกครั้ง สำหรับทริปตามล่าใบไม้แดง 6 วัน 5 คืนครั้งนี้จะเป็นอย่างไร จะเจอใบไม้แดงสมดังที่ตั้งใจไว้หรือไม่ มาออกเดินทางไปด้วยกันเลย!
ภูมิภาคโทโฮคุ คือภูมิภาคที่อยู่ทางเหนือของเกาะฮอนชูหรือเกาะหลักของญี่ปุ่น มีจุดเด่นอยู่ที่ฤดูใบไม้เปลี่ยนสีและฤดูใบไม้ผลิ ประกอบด้วย 6 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดอาโอโมริ (Aomori), จังหวัดอาคิตะ (Akita), จังหวัดอิวาเตะ (Iwate), จังหวัดมิยากิ (Miyagi), จังหวัดยามากาตะ (Yamagata) และจังหวัดฟุกุชิมะ (Fukushima)
บางคนก็เรียกภูมิภาคนี้ว่าเป็นดินแดนอีสานญี่ปุ่น เป็นภูมิภาคที่คนไทยพึ่งจะเริ่มไปท่องเที่ยวเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา อุดมไปด้วยธรรมชาติและสถานที่ท่องเที่ยวที่สวยงาม ไม่ว่าจะเป็นภูเขา น้ำตก ทะเลสาบ ออนเซ็น มีวัฒนธรรมที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว อีกทั้งยังมีอาหารท้องถิ่นที่น่าตื่นตาตื่นใจซึ่งเราอาจไม่เคยเห็นตามเมืองท่องเที่ยวใหญ่ๆ ในญี่ปุ่นมาก่อน
ชิมอาหารทะเลสดๆ ที่อาโอโมริเกียวไซเซ็นเตอร์ (Aomori Gyosai Center)
หลังจากที่นั่งรถไฟชินคันเซ็นฮายาบุสะ (Hayabusa Tohoku Shinkansen) รถไฟชินคันเซ็นสีเขียวที่มีเอกลักษณ์อันโดดเด่นจากสถานีโตเกียว (Tokyo Station) มายังสถานีชิน-อาโอโมริ (Shin-Aomori) โดยใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง ด้วยความที่เราถึงสถานีชิน-อาโอโมริตอนใกล้เที่ยง ก่อนที่เราจะเริ่มออกเดินทาง เพื่อให้มีพลังในการท่องเที่ยวได้ตลอดทั้งวันจึงขอแวะเติมพลังท้องกันก่อนสักหน่อย
สำหรับสถานที่แรกของทริปนี้จึงขอพาทุกคนมาที่ตลาดปลาฟุรุคาวะ (Furukawa Fish Market) หรือรู้จักกันอีกชื่อว่า อาโอโมริเกียวไซเซ็นเตอร์ (Aomori Gyosai Center) ตลาดปลาขึ้นชื่อของจังหวัดอาโอโมริ ปลาที่จังหวัดอาโอโมริจะสดใหม่เพราะอยู่ติดทะเล ทำให้รสชาติหวานอร่อย ไม่คาว ซึ่งจุดเด่นของตลาดนี้คือนักท่องเที่ยวสามารถเลือกสรรข้าวหน้าต่างๆ ได้ด้วยตัวเอง ภาษาญี่ปุ่นเรียกว่า “นกเกะด้ง” (のっけ丼, Nokkedon) หรือข้าวหน้าตามใจฉัน
แน่นอนว่าส่วนใหญ่จะเน้นเป็นวัตถุดิบจากทะเลท้องถิ่น โดยขึ้นอยู่กับฤดูกาลนั้นๆ เช่น แซลมอน ปลาโอ ปลาซาบะ หอยเชลล์ หรือใครที่ไม่ชอบอาหารทะเลและแพ้ซีฟู๊ดก็ไม่ต้องกังวลไป เพราะที่ตลาดมีร้านขายเนื้อหมูและเนื้อวัวด้วยเช่นกัน ร้านค้าที่นี่มีให้เลือกกว่า 30 ร้าน ดาโกะเชื่อว่าแทบทุกคนจะใช้เวลากับการเดินเลือกร้านนานกว่าการนั่งกินแน่นอน (ฮ่าฮ่าฮ่า)
ก่อนที่เราจะเดินเข้าตลาด ด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของช่วงโควิด-19 จึงมีการตรวจวัดอุณหภูมิและให้ทำความสะอาดมือด้วยแอลกอฮอล์ก่อน ส่วนการชำระเงินก็ไม่ต้องยุ่งยากยืนควักกระเป๋าตังหรือรอรับเงินทอนกันให้วุ่นวายเพราะที่ตลาดแห่งนี้ใช้ระบบคูปอง ตรวจวัดอุณหภูมิเรียบร้อยแล้วก็สามารถตรงดิ่งไปซื้อคูปองได้เลย คูปองมี 2 ราคา คือ 1,500 เยน จะได้คูปองจำนวน 10 ใบ และ 750 เยน จะได้คูปองจำนวน 5 ใบ
หลังจากนำคูปองไปแลกข้าวแล้ว ก็สามารถเดินเลือกท็อปปิ้งตามใจชอบได้! ท็อปปิ้งมีทั้งปลาดิบ เนื้อสัตว์ ผักดอง และเครื่องเคียงอื่นๆ อีกมากมายซึ่งแต่ละชนิดจะมีป้ายระบุจำนวนคูปองที่ต้องใช้แทนราคา เช่น หอยเชลล์ต้องใช้คูปอง 2 ใบ เป็นต้น พอเลือกท็อปปิ้งได้แล้ว เราก็ยื่นคูปองให้ทางร้านค้าฉีกออกไป
และหากใครที่ชอบซดซุปร้อนๆ ขอแนะนำว่าควรเหลือคูปองไว้ 1 ใบสำหรับแลกซุปด้วย ร้านซุปนั้นก็จะมีหลายร้านให้เลือกสั่งทั้งซุปสาหร่าย ซุปเต้าหู้ ซุปปลา สังเกตข้อมูลได้จากกระดานเล็กๆ ตรงบริเวณใกล้จุดแลกคูปอง แต่ถ้าไม่เข้าใจภาษาญี่ปุ่น สามารถถามพนักงาน ณ จุดแลกคูปองได้ ส่วนที่นั่งจะมีทั้งหมด 3 จุด ถ้าให้เราแนะนำ ขอแนะนำเป็นบริเวณชั้น 2 เพราะค่อนข้างกว้างขวางและมีความเป็นส่วนตัวมากกว่า
เวลาเปิด-ปิด : 7.00 น. – 16.00 น.
วันหยุด : วันอังคาร และทุกวันที่ 1-2 มกราคม
เว็บไซต์ : https://nokkedon.jp
การเดินทาง : ใช้เวลาเดินประมาณ 5 นาทีจากสถานีรถไฟอาโอโมริ (Aomori) ทางออก East
ชมความงดงามของธรรมชาติจากเบื้องบนด้วยกระเช้าลอยฟ้าฮักโกดะ (Hakkoda Ropeway)
ก่อนที่จะลงจากรถเพื่อไปซื้อตั๋วขึ้นกระเช้า เราต้องขอเวลาหยิบเสื้อโค้ทตัวหนา ผ้าพันคอ หมวกและถุงมือออกมาใส่ในทันที เพราะอากาศบริเวณนี้คืออุณหภูมิเลขตัวเดียว ต่างจากในเมืองที่เราอยู่กันเมื่อสักครู่เกือบ 10 องศา และเมื่อไปถึงบริเวณซื้อตั๋วโดยสาร จะมีจอมอนิเตอร์ที่บอกสภาพอากาศด้านบนยอดเขาที่ระบุอุณหภูมิในขณะนั้นว่าอยู่ที่ 2 องศา ยังไม่ทันขึ้นไปแต่แค่เห็นก็รู้สึกหนาวมากแล้ว ใครจะไปคิดว่าปลายเดือนตุลาคมอากาศจะหนาวได้ขนาดนี้
กระเช้าลอยฟ้าฮักโกดะ (Hakkoda Ropeway) เป็นกระเช้าไฟฟ้าที่จะพาพวกเราเดินทางจากเชิงเขาฮักโคดะขึ้นไปชมวิวมุมสูงบนยอดเขาทาโมยะจิ โดยเปิดให้บริการมาตั้งแต่ปีค.ศ.1968 วันที่เราไปมีฝนตกปรอยๆ หมอกจึงหนา ทำให้บริเวณยอดเขาแทบมองไม่เห็นวิวเลย อีกทั้งอากาศด้านบนยังหนาวมากๆ ด้วย (1.5 องศา) มือแข็งจนกดชัตเตอร์ถ่ายรูปไม่ได้เลยล่ะ
แต่ถึงวิวด้านบนจะมองอะไรไม่ค่อยเห็น แค่ได้ชมวิวด้านล่างก็คุ้มค่าที่ได้มาเยือนแล้ว หรือถ้ามาที่นี่ในช่วงฤดูหนาวก็จะได้เห็นปรากฎการณ์ที่แปลกตาในอีกรูปแบบ นั่นคือ Snow Monster หรือ ปีศาจหิมะ ซึ่งเกิดจากการที่หิมะตกลงปกคลุมต้นไม้จำนวนมากที่อยู่บนเทือกเขา มองแล้วคล้ายเหล่าปีศาจหิมะจำนวนมากนั่นเอง
สำหรับปีนี้ใบไม้เริ่มเปลี่ยนสีตั้งแต่วันที่ 25 กันยายน สำหรับใครที่ชอบเดินก็จะมีเส้นทาง “กอร์ด ไลน์” (ゴードライン, Gourd Line) เส้นทางรูปน้ำเต้า มีให้เลือกเดิน 2 เส้นทางคือ เส้นทางที่ใช้เวลา 30 นาที ระยะทาง 1 กิโลเมตรและเส้นทางที่ใช้เวลา 60 นาที ระยะทาง 1.8 กิโลเมตร ระหว่างเส้นทางเดินจะมีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจหลายแห่ง เช่น น้ำพุร้อนซาคายุ ออนเซ็น (Sakayu Onsen) หรือลำธารโออิราเสะ (Oirase) เป็นต้น
เวลาเปิด-ปิด : 09.00 – 15.40 น. (ช่วงกลาง พ.ย. – สิ้นเดือน ก.พ.) และ 09.00 – 16.20 น. (ช่วงมี.ค. – พ.ย.)
ค่าบัตรขึ้นกระเช้า : ผู้ใหญ่ 1,250 เยน, เด็ก 450 เยน (สำหรับเที่ยวเดียว) และ ผู้ใหญ่ 2,000 เยน, เด็ก 700 เยน (สำหรับไป-กลับ)
เว็บไซต์ : www.hakkoda-ropeway.jp/english
การเดินทาง : จากสถานีชิน-อาโอโมริ (Shin-Aomori) เดินออกทาง East Exit ลงบันไดเลื่อนไปรอขึ้นรถบัสที่ป้ายหมายเลข 1 นั่งบัสประมาณ 1 ชั่วโมง ก็จะถึงป้าย Ropeway Station เดินต่ออีกเล็กน้อยก็จะถึงสถานีสำหรับขึ้นกระเช้า ส่วนขากลับป้ายรถบัสก็จะอยู่ตรงข้ามกับจุดที่เราลงรถบัสตอนขามา
เดินทอดน่องชมวิวจากสะพานโจกาคุระ (Jogakura Ohashi)
จุดต่อไปที่อยู่ไม่ไกลจากกระเช้าลอยฟ้าฮักโกดะและถือเป็นอีกจุดเช็คอินในการตามล่าใบไม้เปลี่ยนสี คือสะพานโจกาคุระ (Jogakura Ohashi) ซึ่งเป็นสะพานโค้งที่ใหญ่และยาวที่สุดในญี่ปุ่น ทอดยาวเชื่อมระหว่างภูเขา 2 ลูกคือภูเขาสึการุ (Tsugaru) และนันบุ (Nanbu)
ถือเป็นจุดชมวิวแบบพาโนรามาที่มองไปทางไหนก็สวยและน่าถ่ายรูปไปหมด ตัวสะพานโค้งยาวถึง 255 เมตร ส่วนความยาวจริงๆ คือ 360 เมตร สูง 122 เมตร หน้ากว้าง 11.5 เมตร ระหว่างที่เราเดินอยู่บนสะพาน ลองสังเกตตรงพื้นจะมีสัญลักษณ์ที่บอกตำแหน่งจุดกึ่งกลางของสะพานด้วย
จากจุดกึ่งกลาง เดินต่อไปอีกนิดก็จะเป็นจุดที่ความสูงบนสะพานอยู่ห่างจากพื้นมากที่สุด โดยเราจะมองเห็นลำธารโจกาคุระ-เคริว (Jogakura-Keiryu) ที่อยู่ด้านล่างไกลๆ ถือเป็นลำธารที่มีชื่อเสียงของอุทยานแห่งชาติโทวาดะ-ฮาจิมันไต (Towada-Hachimantai)
สถานีริมทางมิจิโนะ-เอคิ โออิราเสะ (Michino-eki Oirase)
ก่อนที่เราจะเดินทางไปยังสถานที่รับประทานมื้อเย็น ขอแอบแวะพักรถกันที่สถานีริมทางซึ่งเป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่เราจะต้องแวะทุกครั้งที่ได้มาเที่ยวตามแถบชนบทของญี่ปุ่น เพราะที่สถานีริมทางมักจะมีสินค้าประจำท้องถิ่นนั้นๆ ที่ชาวบ้านนำมาฝากขาย หรือขนมและเครื่องดื่มที่เป็นเอกลักษณ์ประจำเมืองก็มักจะมีวางจำหน่ายที่สถานีริมทางด้วยเช่นกัน
สถานีริมทางแห่งนี้ถือว่าค่อนข้างใหญ่มากๆ มีทั้งส่วนของร้านขายของฝาก ร้านอาหาร สวนสาธารณะ และอีกมากมาย หากใครที่ชอบกินแอปเปิ้ล ดาโกะขอแนะนำให้หยิบแอปเปิ้ลอบกรอบเยอะๆ ได้ลองชิมแล้วจะติดใจ ถ้าซื้อน้อยแล้วต้องมานั่งเสียดายทีหลังแน่นอน (แต่เสียดายที่มัวแต่ห่วงกินเลยลืมถ่ายรูปเก็บมาฝากให้ได้ดูกัน แฮ่ๆ)
เวลา : 8.30 – 19.00 น. (พ.ค. – ต.ค.) และ 9.00 – 18.00 น. (พ.ย. – เม.ย.)
วันหยุด : ทุกวันที่ 31 ธ.ค. – 1 ม.ค.
เว็บไซต์ : www.oirase.or.jp/roman/roman.htm
ฝากท้องมื้อเย็นที่ทาเนซาชิ-ไคกัง (Tanesashi-kaigan)
เมื่อเราช็อปปิ้งสินค้าท้องถิ่นของอาโอโมริกันแล้ว นั่งรถต่อมาอีก 1 ชั่วโมงครึ่ง ก็จะถึงสถานที่ที่เราจะมาฝากท้องมื้อเย็นวันแรกของทริป คือที่ “ทาเนซาชิ-ไคกัง” (Tanesashi-kaigan) ลานหญ้าพื้นที่ประมาณ 24 ตารางกิโลเมตรที่ตั้งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติและยังได้รับเลือกเป็น 1 ใน 100 สถานที่ท่องเที่ยวที่มีทางเดินสวยที่สุดในญี่ปุ่นเพราะมีทางเดินทอดยาวไปถึงชายทะเลทาเนซาชิ (Tanesashi Beach) ที่อยู่ติดกัน
อากาศที่อาโอโมริช่วงนี้เริ่มเย็นแล้ว การมานั่งรอบกองไฟพร้อมทานบาร์บีคิวซีฟู้ดสดใหม่ที่ชาวประมงแถวนี้จับมาได้จากเมื่อเช้า นั่งฟังเสียงคลื่นทะเล ชมดาวและดวงจันทร์ เป็นอีกบรรยากาศที่หาไม่ได้ในการใช้ชีวิตแบบเมืองกรุง เหมือนได้ย้อนวัยไปสมัยที่ต้องเข้าค่ายที่โรงเรียนเลยล่ะ
เดินจากทางเข้าอุทยานมาได้สักพักก็จะเจอพนักงานถือป้ายรอต้อนรับพวกเราอยู่ น่ารักมากๆ เลย และถึงจะบอกว่าเป็นบาร์บีคิวก็ไม่ต้องกังวลว่าจะต้องเตรียมอุปกรณ์ แวะซื้อของที่ซุปเปอร์ให้วุ่นวาย เดินตัวเปล่าเข้าไปได้สบายๆ เพราะทางร้านจะเตรียมให้เราหมดทุกอย่าง
ที่นี่คือสถานที่สำหรับกางเต็นท์ (Glamping) จะมีเต็นท์กางเรียงรายอยู่อีกฝั่งส่วนเราก็มากินมื้อค่ำตรงลานกว้าง ที่นั่งจะมีผ้าคลุมเข่ากันหนาวและมีเครื่องดื่มให้เลือกหลากหลาย
สำหรับจานแรก จานเรียกน้ำย่อยจะเป็น คาร์ปาชโช่ปลาฮิราเมะ (ปลาตาเดียว) ซึ่งเป็นปลาขึ้นชื่อของเมืองฮาจิโนะเฮะ โดยนำปลาดิบมาคลุกเคล้ากับน้ำมันมะกอกและน้ำมะนาว เสิร์ฟพร้อมผักสลัด ส่วนใครที่ไม่กินปลา ก็จะได้รับเป็นเนื้ออบแทน
เมนูถัดมาคือซุปมันฝรั่งร้อนๆ ใส่มันฝรั่ง แครอทชิ้นใหญ่สะใจมาก และเพราะซุปนั้นใส่ไก่ลงไปด้วยเลยทำให้น้ำซุปหวานกลมกล่อมมากๆ ซดทีหายหนาวกันไปเลย ส่วนบาร์บีคิวไม้ใหญ่ๆ ที่พนักงานกำลังย่างนั้น ไก่ที่ใช้ย่างอยู่คือไก่จิโดริหรือไก่ท้องถิ่นที่เลี้ยงปล่อยธรรมชาติ ทำให้มีกล้ามเนื้อเยอะ ตัวเนื้อเลยมีความเด้ง อร่อยสุดๆ
สำหรับเมนคอร์สจะถูกเสิร์ฟมาทั้งถาดสำหรับรับประทานร่วมกันหลายๆ คน มีทั้งเนื้อวัวนุ่มๆ กุ้งสดๆ หอยเชลล์ ปลาหมึก และปลาซาบะซึ่งเป็นของขึ้นชื่อของที่นี่เลย วัตถุดิบทุกอย่างสดและอร่อยมากๆ เพราะเขาเน้นใช้วัตถุดิบในท้องถิ่น
ต่อด้วยแกงกะหรี่ที่ราดมาบนข้าวที่ถูกกลบด้วยแกงกะหรี่อยู่ด้านล่าง ตัวเครื่องแกงคือมีความสไปซี่มากๆๆ ถูกปากคนไทยแน่นอน ปิดท้ายมื้อนี้ด้วยของหวาน มาร์ชเมลโลใส่กล้วยและเบอร์รี่ หวานเปรี้ยวตัดเลี่ยนได้ดีเลย
คืนนั้นเราไปกินเฉพาะมื้อค่ำ แต่ถ้าหากใครอยากลองแกลมปิ้งที่ญี่ปุ่น ตื่นมาเห็นชายหาดและวิวทะเลสวยๆ พักสักคืนที่นี่ก็จะได้อีกบรรยากาศ สะดวกตรงที่เราไม่ต้องกางเต็นท์เอง ที่นี่เขากางไว้ให้แล้ว มีอุปกรณ์ทุกอย่างเตรียมไว้ให้เรียบร้อย ภายในกว้างขวาง มีฟูก แถมมีฮีตเตอร์ด้วย รับรองนอนหลับสบายแน่นอน
ความน่ารักอีกอย่างคือจะมีชื่อของลูกค้าที่เข้าพักติดไว้ตรงทางเข้าเต็นท์ด้วย ถือว่าเป็นอีกหนึ่งประสบการณ์ดีๆ ที่อยากแนะนำ ทั้งนี้ที่นี่ยังมีกิจกรรมอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเดินเขา โยคะ พายเรือ ปั่นจักรยาน ลองเข้าไปดูรายละเอียดต่างๆ เพิ่มเติมทางเว็บไซต์ได้นะ
การเดินทาง : ใช้เวลาเดินประมาณ 10 นาทีจากสถานี Tanesashi Kaigan (JR Hachinohe Line)
เว็บไซต์ :
http://npo-acty.jp/tanesashi/glamping.html
https://hachinohe-kanko.com/english
ค่าใช้จ่าย :
• บาร์บีคิว คนละ 6,000 เยน
• เข้าพักคืนละ 46,000 เยน สำหรับ 2 คน (รวมค่าที่พัก มื้อค่ำ เครื่องดื่ม และมื้อเช้า)
**พักได้มากสุด 4 ท่าน/เต็นท์ โดยสามารถจ่ายส่วนค่าอาหารเพิ่มเติมได้
เดินเล่นตรอก Hachinohe Yarai Village Miroku Yokocho
เมื่อเราเข้าตัวเมืองฮาจิโนเฮะ จังหวัดอาโอโมริ เช็คอินที่โรงแรมเรียบร้อยแล้ว เราก็ไปเดินเล่นกันต่ออีกสักเล็กน้อยก่อนจะกลับห้องอาบน้ำนอน ที่ตรอก “Hachinohe Yarai Village Miroku Yokocho” ถือเป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่ควรมาหากอยากสัมผัสบรรยากาศร้านแผงลอย ให้บรรยากาศญี่ปุ่นสมัยย้อนยุคนิดๆ ระยะทางของตรอกยาวประมาณ 80 เมตร แต่มีร้านแผงลอยขนาดเล็กเรียงติดกันให้เลือกชมเลือกซื้อมากกว่า 20 ร้าน ทั้งร้านราเมง ร้านซูชิ ร้านโอเด้ง ร้านขายกับแกล้ม ร้านปิ้งย่างต่างๆ โดยเน้นวัตถุดิบท้องถิ่นและเมนูขึ้นชื่อประจำเมืองเท่านั้น แต่ละร้านจุคนได้ประมาณ 6-10 คนเท่านั้น รับรองว่าบรรยากาศภายในอบอุ่น ได้พูดคุยกับเจ้าของร้านและเจ้าถิ่นอย่างสนุกสนานแน่นอน!
เวลาเปิด-ปิด : แต่ละร้านเปิด-ปิดไม่พร้อมกัน โดยเริ่มทยอยเปิดตั้งแต่เวลา 17.00 น. และเปิดครบทุกร้านช่วงประมาณ 20.00 น.
การเดินทาง : ใช้เวลาเดินประมาณ 10 นาทีจากสถานี JR Hachinohe หรือ นั่งรถบัส Hachinohe City Bus หรือ Nanbu Bus มาลงที่ป้าย “Hachinohe Chushingai Terminal” แล้วเดินต่อจากป้ายประมาณ 3 นาที
ส่วนที่พักในค่ำคืนแรกนั้น เราพักกันที่ Daiwa Roynet ซึ่งเป็น Business Hotel ซึ่งอยู่ในตัวเมืองและไม่ไกลจากตรอก Hachinohe Yarai Village Miroku Yokocho ห้องพักขนาดกลางๆ อุปกรณ์ครบครัน ใต้โรงแรมมีร้านลอว์สันอยู่ด้วยถือว่าสะดวกสบายสุดๆ แถมไวไฟก็แรงด้วยล่ะ
เริ่มต้นเช้าวันใหม่ที่ศาลเจ้าคาบุชิมะ (Kabushima)
เช้าวันที่สอง หลังจากรับประทานมื้อเช้าที่โรงแรมเรียบร้อยแล้ว เรานั่งรถประมาณ 15 นาที เพื่อไปที่ศาลเจ้าซึ่งอยู่ติดกับชายหาด “ศาลเจ้าคาบุชิมะ” (Kabushima) เป็นศาลเจ้าแห่งท้องทะเล ตั้งอยู่บนเกาะคาบุชิมะ เมืองฮาจิโนะเฮะ จังหวัดอาโอโมริ เนื่องจากเกาะนี้มีนกนางนวลหางดำ หรือ Umineko อาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก จึงมีอีกฉายาว่าเป็นเกาะนกนางนวลหางดำ โดยได้รับการคุ้มครองให้เป็นอนุสรณ์สถานแห่งชาติของญี่ปุ่นในปีค.ศ.1922 และกำหนดให้เป็นอุทยานแห่งชาติในปีค.ศ.2013 เพราะเป็นที่เดียวในญี่ปุ่นที่สามารถเห็นการเจริญเติบโตของเหล่านกนางนวลหางดำจำนวนมากมายได้อย่างใกล้ชิด
ทั้งนี้คำว่า Umineko แปลตรงๆ จะแปลว่า แมวทะเล เพราะนกนางนวลหางดำนี้ ลักษณะภายนอกเหมือนนกนางนวลทั่วไป แต่จะมีจุดแต้มสีดำที่หางและมีเสียงร้องเหมือนแมวนั่นเอง
ศาลเจ้าคาบุชิมะแห่งนี้มีเทพเจ้าเบนไซเทนซึ่งเป็นเทพแห่งธุรกิจการค้าและศิลปะดนตรี ทำให้เป็นที่นิยมในหมู่เจ้าของธุรกิจ ร้านค้า ดารา และเหล่าคนดัง ทั้งนี้คำว่า “คาบุ” ในภาษาญี่ปุ่นมีคำพ้องเสียงที่แปลว่าหุ้น จึงมีคนที่เชื่อว่าจะโชคดีในตลาดหุ้นอีกด้วยค่ะ
ที่นี่ชาวประมงและคนท้องถิ่นให้ความสำคัญกับนกนางนวลหางดำ เพราะพวกเขาเชื่อกันว่านกจะนำทางให้ชาวประมงเดินเรือไปยังจุดตกปลาที่ทำกำไรได้ ชาวบ้านก็เลยถือว่านกนางนวลหางดำเป็นผู้ส่งสารของเทพเจ้าเบนไซเทนที่ประดิษฐานอยู่ ณ ศาลเจ้าแห่งนี้นั่นเองด้วยเหตุนี้เซียมซีที่ศาลเจ้านี้เลยมีรูปนกนางนวลหางดำอยู่ โดยคำทำนายจะซ่อนอยู่ด้านล่าง
สำหรับคนญี่ปุ่นเชื่อกันว่าถ้าโดนขี้นกแล้วจะโชคดีเช่นกัน เพราะคำว่าขี้ หรือ อุนโกะ จะพ้องเสียงกับคำว่า อุน ที่แปลว่า โชค ถ้าเดินๆ อยู่แล้วโดนนกขี้ใส่ก็จะถือว่าโชคดี แต่ถ้าไม่อยากเสี่ยงก็สามารถกางร่มที่ทางศาลเจ้ามีให้หยิบยืมตรงบริเวณทางขึ้นบันไดด้านล่างได้
ศาลเจ้าคาบุชิมะก่อตั้งขึ้นในปีค.ศ.1706 โดยชาวประมงในท้องถิ่น เพื่อเป็นสถานที่ยึดเหนี่ยวทางจิตใจให้เดินเรืออย่างปลอดภัย โดยบนเพดานของศาลเจ้ามีภาพวาดมังกรที่มีหางซึ่งโดยปกติแล้วชาวจีนมักจะวาดภาพมังกรโดยไม่มีหาง ในที่นี้คือเป็นการเปรียบเปรยหางของมังกรดั่งหางเรือที่จะคอยช่วยให้การเดินเรือทางทะเลนั้นราบรื่น
แต่แล้ววันที่ 5 พฤศจิกายน ค.ศ.2015 ก็เกิดเหตุไฟไหม้ทำให้ศาลเจ้าต้องใช้เวลาในการซ่อมแซมนานถึง 4 ปีครึ่ง เนื่องจากต้องคำนึงถึงช่วงเวลาในการผสมพันธุ์ของนกนางนวลหางดำ เพื่อไม่เป็นการทำลายระบบนิเวศน์ทางธรรมชาติ และบูรณะซ่อมแซมเสร็จเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ซึ่งการปรับปรุงครั้งนี้ได้มีการปรับโครงสร้างให้เป็น 2 ชั้น เพื่อให้ชั้นล่างเป็นที่หลบภัยได้ด้วย ซึ่งก่อนหน้านี้จะเป็นเพียงพื้นที่ใต้หลังคา แต่ไม่ได้เป็นโครงสร้าง 2 ชั้นชัดเจนเหมือนปัจจุบัน
ทั้งนี้การก่อสร้างศาลเจ้านี้ต้องใช้ฝีมือของผู้เชี่ยวชาญ โดยหลักๆ จะใช้ไม้เกือบทั้งหมด ประกอบด้วยเสาหลักสูง 8 เมตร จำนวน 22 เสา คาน 2 ตัน จำนวน 4 คานและมีเสาใหญ่ 4 ตัน อีก 196 เสา เป็นการใช้ไม้ของเมืองฮาจิโนเฮะทั้งหมด มีงานแกะสลักไม้เป็นรูปต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น งู มังกร เทพเจ้า และผู้หญิง 5 คนที่กำลังบรรเลงดนตรีต้อนรับผู้คนที่มาเยือนศาลเจ้า ถือว่าเป็นศาลเจ้าที่มีศิลปะสวยงามมากๆ
นอกจากนี้ บริเวณด้านหน้าของศาลเจ้าจะมีจุดรับพลัง โดยให้เรายืนกางแขนและขา จากนั้นก่อนกลับให้เดินวนรอบศาลเจ้า 3 รอบ โดยเดินวนขวาหรือทวนเข็มนาฬิกาแล้วจะโชคดี ซึ่งระหว่างที่เราเดินจะเห็นหินแกะสลักปีนักษัตรต่างๆ เทพเจ้า วิวทะเลมหาสมุทรแปซิฟิก ท่าเรือและวิวเมืองด้วย
การเดินทาง : ลงรถไฟที่สถานี Same แล้วเดินต่อประมาณ 10 นาที
เว็บไซต์ : https://hachinohe-kanko.com/english/kanko_data/kabushima
นั่งรถไฟชมวิวทะเลด้วยรถไฟซันริคุ (Sanriku Railway)
ต่อจากศาลเจ้าเรานั่งรถข้ามจังหวัดจากอาโอโมริไปยังจังหวัดอิวาเตะ เพื่อเปลี่ยนบรรยากาศไปนั่งรถไฟซันริคุ (Sanriku Railway) ซึ่งเป็นรถไฟวิ่งเลียบชายฝั่งที่ติดกับทะเลแปซิฟิก เริ่มเปิดใช้บริการครั้งแรกในเดือนเมษายน ปีค.ศ.1984 ระยะทางของรถไฟสายนี้ยาว 163 กิโลเมตร มีจำนวนสถานีถึง 40 สถานี ต่อมาในปีค.ศ.2011เส้นทางรถไฟได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์สึนามิ จึงมีการปิดปรับปรุงนานถึง 3 ปี และเริ่มเปิดให้บริการอีกครั้งในปีค.ศ.2014 ทำให้บรรยากาศของบ้านเมืองที่เราวิ่งผ่านนั้นถือว่าค่อนข้างใหม่
สำหรับรถไฟสายนี้ บางคนก็นั่งเพื่อโดยสาร บางคนก็นั่งเพราะอยากชมวิวทะเลที่สวยงาม และบางคนก็มานั่งตามรอยละครเรื่อง “อามะจัง เด็กน้อยนักดำน้ำ” เราเลือกนั่งเพียงช่วงระยะสั้นๆ จากสถานีต้นทางคือคุจิ (Kuji) ไปยังสถานีอิวาซึมิ-โอโมโตะ (Iwaizumi-omoto) ระยะทาง 60 กิโลเมตร โดยใช้เวลา 1 ชั่วโมงนิดๆ (ค่าโดยสาร 1,310 เยน) ขบวนรถไฟมีทั้งรถไฟธรรมดาและรถไฟขบวนพิเศษที่จะมีเฉพาะบางช่วง ครั้งนี้เรานั่งรถไฟแบบขบวนธรรมดาซึ่งเอกลักษณ์ของขบวนรถไฟนี้อยู่ที่ภายนอกตัวรถไฟที่มีการทาสี 3 สี แต่ละสีมีความหมายแตกต่างกันไป สีน้ำเงิน หมายถึงทะเลซันริคุ, สีแดง หมายถึง ความหลงใหลในรถไฟ และสีขาว หมายถึง ความซื่อสัตย์
นอกจากนี้แต่ละสถานีที่เรานั่งผ่านก็จะมีชื่อเล่นที่ตั้งจากเอกลักษณ์ของสถานีนั้นด้วย เช่น สถานีคุจิซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการเดินทางในครั้งนี้ มีชื่อเล่นว่าโคฮาคุ (Kohaku) แปลว่า อำพัน เพราะที่นี่สามารถผลิตอำพันได้เป็นจำนวนมาก เป็นต้น ช่วงเริ่มแรกของเส้นทางเราจะยังไม่สามารถมองเห็นวิวทะเลได้ เพราะมีการสร้างกำแพงสูงถึง 14 เมตรเพื่อเป็นการป้องกันคลื่นยักษ์สึนามินั่นเอง (ก่อนหน้าที่จะโดนภัยพิบัติ กำแพงถูกสร้างไว้สูง 10 เมตรแต่ก็ไม่อาจรับมือกับสึนามิได้) เราจะมองเห็นวิวทะเลได้ก็ต่อเมื่อถึงสถานีโนดะ-ทามากาวะ (Noda-tamagawa)
สำหรับแฟนละครเรื่องอามะจัง อย่าลืมแวะลงไปถ่ายรูปที่สถานีโฮรินาอิ (Horinai) กันด้วยนะ (ในละครใช้ชื่อสถานีว่าโซเดะ กะ ฮามะ, Sode Ga Hama) ที่สถานีจะมีป้ายสถานีที่ใช้ถ่ายทำตั้งอยู่บริเวณชานชะลาด้วย
นอกจากนี้ยังสามารถเพลิดเพลินกับวิวทิวทัศน์ที่สวยงาม สะพานสีแดง โซนเลี้ยงปลาแซลมอน รถไฟแล่นผ่านอุโมงค์เป็นครั้งคราว และหากโชคดี เราจะมีโอกาสได้นั่งรถไฟที่จะหยุดอยู่บนสะพานโอซาวะ เคียวเรียว (Osawa Kyoryo) ยาว 176 เมตร เพื่อชมวิวทะเลสวยๆ จากบนสะพาน
และในช่วงปีใหม่ก็จะมีขบวนรถไฟชมพระอาทิตย์ขึ้นอีกด้วย เห็นว่าเป็นที่นิยมมากๆ ต้องจองล่วงหน้า ไม่เช่นนั้นอาจจะอดนั่งได้และเมื่อเรานั่งไปถึงสถานีอิวาซึมิ-โอโมโตะ จะพบกับแบบจำลองบ้านแถบชายฝั่งก่อนที่จะได้รับผลกระทบจากคลื่นสึนามิตั้งอยู่ ถือเป็นแหล่งเรียนรู้ที่จะทำให้คนญี่ปุ่นรุ่นหลังๆ ได้เรียนรู้และปรับตัวเพื่อรับมือกับภัยพิบัติที่อาจจะเกิดขึ้นได้อีกในอนาคต
เว็บไซต์ : www.sanrikutetsudou.com/en
*รถไฟสายนี้ไม่สามารถใช้ JR PASS ในการโดยสารได้
ข้าวหน้าปลาชุบแป้งทอดที่อร่อยสมคำร่ำรือ ณ เซนสุเคยะ (ZENSUKEYA)
จากสถานีอิวาซึมิ-โอโมโตะ นั่งรถยนต์ต่ออีกประมาณ 15 นาทีก็จะถึงร้านเซนสุเคยะ (ZENSUKEYA) ที่ตั้งอยู่ภายในสถานีริมทางมิจิ-โนเอกิ ทาโร่ (Michi-noeki Tarou) กินดงโกะด้ง (Donko-don) หรือข้าวหน้าปลาชุบแป้งทอดที่ตอนแรกแอบมองเป็นข้าวหน้าไก่ทอด รสชาติอร่อยสมคำร่ำลือ กรอบนอกนุ่มในเสิร์ฟคู่กับราเมงสาหร่ายที่รสชาติไม่เข้มข้นมาก กินคู่กันลงตัวสุดๆ แต่ขอสารภาพว่าเรากินราเมงไม่หมดเพราะทางร้านให้มาเยอะมากจริงๆ
ซื้อตั๋วล่องเรือชมวิวทะเลที่โจโดกาฮามะ มารีนเฮาส์ (Jodogahama Marine House)
ก่อนหน้านี้เราได้ชมวิวทะเลซันริคุแบบไกลๆ มาแล้ว วันนี้เรามาสัมผัสบรรยากาศริมทะเลที่ชายหาดโจโดกาฮามะกันบ้าง หนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมที่ได้รับการยกย่องให้เป็นจุดชมวิวที่สวยมากๆ อีกแห่งหนึ่งของญี่ปุ่น ตั้งอยู่เมืองมิยาโกะ จังหวัดอิวาเตะ เอกลักษณ์ของชายหาดโจโดกาฮามะคือกรวดขาว น้ำทะเลใส และสงบ สวยถึงขนาดที่ว่าสมัยก่อนมีพระรูปหนึ่งเคยบอกไว้ว่าเหมือนแดนสวรรค์ ที่นี่มีเส้นทางสำหรับเดินเล่นและยังมีบริการล่องเรือชมเกาะต่างๆ โดยจะมีให้เลือก 2 แบบ คือ Blue Cave Cruise เป็นเรือขนาดเล็ก ใช้เวลา 20 นาที และ Miyako Jodogahama Boat Cruise ใช้เวลา 40 นาที เป็นเรือขนาดใหญ่ ซึ่งในครั้งนี้เราเลือกเป็นแบบแรกคือ Blue Cave Cruise
หลังจากที่ซื้อตั๋วนั่งเรือที่ Marine House เจ้าหน้าที่จะแจกเสื้อชูชีพ พร้อมหมวกและขนมฮานามิสำหรับเป็นขนมให้นกกับเรา (หรือใครที่หิวจะกินฮานามิเองก็ได้ ไม่ว่ากัน ฮ่าฮ่า) หลังจากขึ้นประจำที่นั่งเรียบร้อยแล้ว คนขับเรือจะพาเราไปชมเกาะหินที่ตั้งอยู่ตรงข้ามชายหาด ระหว่างนั้นก็จะมีนกบินมาอยู่ใกล้ๆ รอคอยอาหารจากเราด้วย จะโยนหรือว่าให้คาบจากมือเราก็ได้
หลังจากนั้นเรือก็จะพาเราลอดเข้าไปในถ้ำสีฟ้า (Blue Grotto) ถ้ำขนาดเล็กที่มีน้ำทะเลสีฟ้าโคบอลต์ โดยสีของน้ำจะแตกต่างกันไปในแต่ละช่วงเวลาขึ้นอยู่กับแสงและปัจจัยทางธรรมชาติหลายๆ อย่าง และระหว่างที่เรือกำลังแล่นกลับเข้าชายหาด จู่ๆ พี่ที่มาด้วยกันก็ร้องกรี๊ดขึ้นมา จนทั้งเรือพากันตกใจ สรุปคือเราโดนเจ้านกนางนวลหางดำทิ้งระเบิดใส่เสื้อชูชีพที่สวมอยู่ล่ะ ก็แอบช็อคนิดๆ แต่คนขับเรือตะโกนมาว่า “โชคดีแล้ว!” เพราะคนที่นี่เชื่อกันว่าถ้านกนางนวลหางดำขี้ใส่จะมีโชค เพราะพ้องเสียงกับคำว่า “อุน” ที่แปลว่า “โชค” นั่นเอง
Blue Cave Cruise
เวลาเปิด-ปิด : 08.30 – 17.00 น. (ไม่ต้องสำรองที่นั่งล่วงหน้า)
วันหยุด : ธ.ค. – ก.พ.
ค่าใช่จ่าย : 1,500 เยน
เว็บไซต์ :
http://j-marine.com/sappa
www.kankou385.jp/jodogahama/index_01.html
Miyako Jodogahama Boat Cruise
มีให้บริการ 6 รอบต่อวัน (ดูรอบและวันที่เปิดให้บริการได้ทางเว็บไซต์หรือเฟซบุ๊ค)
วันหยุด : กลางเดือนม.ค. – ต้นเดือนมี.ค.
ค่าใช่จ่าย : 1,400 เยน
การเดินทาง: จากสถานีมิยาโกะ (Miyako) ขึ้นรถสาย Jodogahama หรือ Miyako Byoin ที่ป้ายรถหมายเลข 3 ไปลงที่ Jodogahama Visitor Center เมื่อลงรถเมล์จะเห็นจุดขายตั๋วโดยสารเรืออยู่ใกล้ๆ จากจุดขายตั๋วเดินไปยัง Asabashi (ท่าเรือ) ใช้เวลา 5 นาที หรือ นั่งแท็กซี่ จากชายหาดโจโดงาฮามะ (Jodogahama Beach)ใช้เวลา 5 นาที
เว็บไซต์ :
http://jodo-yuransen.jp
www.facebook.com/jodo.yuransen
หลังจากล่องเรือเสร็จ เราพากันเดินเล่นเลียบชายหาดต่ออีกสักพัก ก่อนจะนั่งรถประมาณ 5 นาทีเพื่อไปยังที่ Jodogahama Park Hotel ที่พักสำหรับค่ำคืนนี้ซึ่งเป็นที่พักสไตล์ญี่ปุ่น ห้องพักแบบเสื่อทาทามิที่มีขนมมันจูวางต้อนรับอยู่บนโต๊ะ ห้องกว้างขวาง สามารถชมวิวทะเลสวยๆ พร้อมชมพระอาทิตย์ขึ้นได้จากระเบียงห้องนอน ที่สำคัญอาหารมื้อค่ำที่นี่อร่อยมากๆ ซีฟู้ดสดใหม่ ไข่ตุ๋น ซุปมิโซะใส่อูนิ หอยเป๋าฮื้อและหอยเชลล์ก็เนื้อเด้ง รสหวานมากๆ หากมาท่องเที่ยวแถวนี้ขอแนะนำที่พักนี้เลย!
เรื่องและภาพ : Nozomi (โนโซมิ) เจ้าของเพจ “เมื่อฉันมาอยู่ญี่ปุ่น – Japan simple life“