ทริปตามล่าใบไม้แดงที่โทโฮคุ (Tohoku) ตอนที่ 2
เริ่มต้นเช้าวันที่ 3 ของทริปตามล่าใบไม้แดงที่โทโฮคุ (Tohoku) ด้วยการชมพระอาทิตย์ขึ้นจากชายฝั่งซันริคุ จากนั้นออกเดินทางไปยังเมืองโมริโอกะซึ่งถือเป็นเมืองใหญ่ของจังหวัดอิวาเตะ โดยใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงก็มาถึง “สวนซากปราสาทโมริโอกะ” (Morioka Castle Ruins) และมีคุณลุงซึ่งเป็นไกด์ท้องถิ่นพาเดินชมรอบๆ พร้อมกับอธิบายสิ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับซากปราสาทนี้ให้เราฟัง
เดินสวนชมซากปราสาทโมริโอกะ (Morioka Castle Ruins Park)
สวนซากปราสาทโมริโอกะ (盛岡城址公園, Morioka Castle Ruins Park) แห่งนี้ เดิมทีเป็นที่ตั้งของปราสาทที่เรียกกันว่า “ปราสาทโคซุคาตะ” (Kozukata Castle) เป็นปราสาทของผู้ครองแคว้นที่เริ่มสร้างในปีค.ศ.1597 และถูกทำลายลงในปีค.ศ.1874 โดยรัฐบาลเมจิเข้ายึดและทำลายตัวปราสาทเหลือไว้เพียงกำแพงหิน ตอนแรกซากปราสาทแห่งนี้ถูกปล่อยให้รกรุงรังจนวันเวลาผ่านไปรัฐบาลกลางจึงเสนอชาวเมืองให้ทำเป็นสวนสาธารณะเพื่อจะได้ใช้สอยพื้นที่ให้เกิดประโยชน์ ชาวเมืองจึงยื่นเรื่องต่อเทศบาลเมืองให้ช่วยปรับปรุงบริเวณนี้เป็นสวนสาธารณะ และสวนแห่งนี้ได้เปิดอย่างเป็นทางการในปีค.ศ.1906 โดยใช้ชื่อว่า “สวนอิวาเตะ” (Iwate Park)
ปราสาทโมริโอกะตั้งอยู่บนพื้นที่ราบสูง มีแม่น้ำ 2 สายขนาบข้างคือแม่น้ำคิตะคามิและแม่น้ำนากาทสึ ตัวปราสาทมีแม่น้ำล้อมรอบ โดยมีการสร้างกำแพงหินสูงไว้อีกชั้นเพื่อเป็นการป้องกันการโจมตีจากข้าศึก รวมทั้งยังเป็นการป้องกันแม่น้ำไหลเข้าท่วมตัวปราสาทด้วย กำแพงหินที่สร้างขึ้นใหม่ล่าสุดนั้นถูกสร้างขึ้นในปีค.ศ.1660 โดยใช้หินที่มีขนาดเท่าๆ กันซึ่งช่วงที่ปรับปรุงเป็นสวนสาธารณะได้มีการต่อเติมกำแพงหินดังกล่าวในบางจุดเพื่อให้เดินได้สะดวกมากยิ่งขึ้น
ต่อมาในปีค.ศ.1984 – 1990 ได้มีการนำคอมพิวเตอร์เข้ามาช่วยในการซ่อมแซมกำแพงครั้งใหญ่จึงทำให้บริเวณสันกำแพงเป็นเส้นตรงสวยงามมากขึ้น โดยหินขนาดเล็กจำนวนมากที่ถูกนำมาใช้ในครั้งนี้ได้มีการเขียนหมายเลขกำกับไว้บนก้อนหินทุกก้อน ก่อนจะใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ในการช่วยเรียงหินให้ประกอบเข้าได้ทั้งหมด เป็นการซ่อมแซมที่ไฮเทคมากๆ ส่วนช่องว่างระหว่างหินก้อนใหญ่ก็จะมีการเรียงหินขนาดเล็กแทรกเข้าไปเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่ง เรียกว่า “คุริอิชิ” (栗石) หรือหินเกาลัด ข้อดีคือตอนที่ฝนตกหนักมากๆ น้ำฝนจะค่อยๆ ไหลผ่านตามซอกหินก่อนจะไหลลงพื้นถือเป็นการชะลอความแรงไปในตัว
และก่อนจะเดินไปยังบริเวณปราสาทชั้นใน (Honmaru) บริเวณทางขึ้นบันได หากสังเกตที่กำแพงหินให้ดีจะเห็นหินรูปหัวใจอยู่บริเวณดังกล่าวด้วย ว่ากันว่าเด็กนักเรียนที่มาเดินเล่นเป็นคนสังเกตเห็น สงสัยเด็กคนนั้นคงกำลังอินเลิฟอยู่แน่ๆ ส่วนบริเวณสวนของซากปราสาทจะมองเห็นภูเขาอิวาเตะ ที่มีฉายาว่า “ฟูจิซังแนวนอนของอิวาเตะ” ซึ่งบริเวณนี้จะมีศิลาจารึกของเหล่าบุคคลที่มีความสัมพันธ์กับสถานที่แห่งนี้อยู่หลายชิ้น เช่น ศิลาจารึกบทเพลงของอิชิคาวะ ทาคุโบคุ, ศิลาจารึกบทกวีของมิยาซาวะ เคนจิ และศิลาจารึกงานประพันธ์ของนิโตเบะ อินาโซะ เป็นต้น
เว็บไซต์ : www.moriokashiroato.jp
การเดินทาง : เดินประมาณ 15-20 นาทีจากสถานีรถไฟ JR โมริโอกะ หรือนั่งรถบัสประมาณ 10 นาทีจากสถานีรถไฟ JR โมริโอกะ โดยนั่งรถบัส DenDen Mushi Loop มาลงที่ป้ายหมายเลข 16 (Morioka Joato Koen)
กินวังโกะโซบะแสนอร่อยที่ร้านอะซึมายะ (AZUMAYA)
เดินชมความงามของซากปราสาทเรียบร้อยแล้ว ก็ถึงเวลากินมื้อกลางวันพอดี เราจึงเดินชมเมืองต่ออีกเล็กน้อยก่อนจะมุ่งหน้าไปยังร้านอะซึมายะ (Azumaya) ร้านโซบะที่เราตั้งใจไปกินมื้อกลางวัน โดยระหว่างทางเราได้เดินผ่านผ่านอาคารอิฐแดงที่คล้ายกับสถานีโตเกียว เดิมทีเป็นอาคารของธนาคารอิวาเตะ (The Bank of Iwate) ออกแบบโดยสถาปนิกคนเดียวกันกับสถานีรถไฟโตเกียวคือมันจิ คาซาอิ (Manji Kasai) และคินโกะ ทัตสึโนะ (Kingo Tatsuno) โดยที่ธนาคารแห่งนี้สร้างเสร็จก่อน 2 ปี ปัจจุบันเปิดเป็นพิพิธภัณฑ์ให้บุคคลทั่วไปเข้าชมได้
หากมาเยือนเมืองโมริโอกะ จังหวัดอิวาเตะแล้ว สิ่งหนึ่งที่ไม่ควรพลาดเลยคือการรับประทานวังโกะโซบะ (Wanko Soba) ซึ่งถือเป็น 1 ใน 3 เมนูประเภทเส้นที่ขึ้นชื่อของเมืองนี้ อีก 2 ประเภทคือ เรเมน (Reimen) และ จาจาเมน (Jajamen) สาเหตุที่อาหารประเภทเส้นของเมืองโมริโอกะมีชื่อเสียงนั้นมาจากลักษณะภูมิประเทศที่ไม่เหมาะแก่การเพาะปลูกข้าวเพราะตัวเมืองถูกภูเขาล้อมรอบทั้ง 3 ด้านและมีแม่น้ำหลากสายไหลผ่าน ทำให้คนสมัยก่อนนิยมปลูกพืชผักต่างๆ รวมถึงต้นบักวีตซึ่งเป็นที่มาของการทำโซบะด้วย
ร้านอะซึมายะ (AZUMAYA) ร้านที่ขึ้นชื่อเรื่องวังโกะโซบะแสนอร่อย ในตัวเมืองโมริโอกะมีอยู่ทั้งหมด 4 สาขา เราเลือกกินที่สาขาแรกที่อยู่ใกล้กับซากปราสาทโมริโอกะ ลักษณะอาคารทรงโบราณยังคงถูกรักษาไว้เช่นเดิม แบ่งเป็น 2 ชั้นโดยชั้นล่างนั้นมีไว้สำหรับลูกค้าที่กินเมนูอาหารตามสั่งทั่วไป ส่วนชั้น 2 มีไว้สำหรับลูกค้าที่มากินวังโกะโซบะโดยเฉพาะ
วังโกะโซบะเป็นอาหารที่มีมาตั้งแต่สมัยเมจิ เอกลักษณ์คือเป็นโซบะที่เสิร์ฟอย่างต่อเนื่องในปริมาณหนึ่งถ้วยต่อหนึ่งคำ พนักงานจะคอยยืนเติมเส้นให้เราอยู่ข้างๆ และก่อนจะเริ่มรับประทาน พนักงานจะทยอยเสิร์ฟเครื่องเคียง ตะเกียบ รวมถึงกล่องที่มีลักษณะคล้ายไม้ขีดให้กับเรา พอเปิดดูด้านในจะมีไม้อยู่ แต่ไม่มีหัวกลมๆ เหมือนไม้ขีด พนักงานจึงอธิบายว่าเป็นไม้ไว้สำหรับให้เรานับว่ากินไปทั้งหมดกี่ชามแล้ว โดยที่เราสามารถกำหนดได้เองว่า 1 ไม้แทนการนับกี่ชาม เช่น 1 ไม้แทน 5 ชามหรือ 10 ชาม เป็นต้น
นอกจากนั้นยังมีกระดาษสีเหลืองเปรียบเหมือนประกาศนียบัตรที่ทางร้านจะมอบให้กับเราหลังกินเสร็จเรียบร้อย โดยในใบดังกล่าวจะมีการระบุวันที่ ชื่อและจำนวนชามทั้งหมดที่เรากินไว้ แต่หากใครอยากจะลองสู้จนทำสถิติได้ 100 ชามก็ได้เช่นกัน เพราะนอกจากจะได้ประกาศนียบัตรแผ่นสีเหลืองแล้ว ยังจะได้ประกาศนียบัตรเป็นแบบไม้เป็นที่ระลึกเพิ่มด้วย
วังโกะโซบะหนึ่งเซ็ตจะมีเครื่องเคียง เช่น ซาชิมิปลามากุโระ ไก่สับปรุงรส ผักดอง น้ำจิ้มพริกที่มีรสเผ็ด ให้กินคู่กับโซบะด้วย สำหรับเส้นโซบะนั้นจะมีการปรุงรสไว้อยู่แล้วคือจะมีใส่น้ำซุปมาพอขลุกขลิก พอเรากินเส้นแล้วให้เทน้ำซุปลงไปในโถที่เตรียมไว้ตรงกลางโต๊ะจะได้ไม่เป็นการตัดกำลังและกินได้หลายๆ ชาม
หลังจากที่เราใส่ผ้ากันเปื้อนที่ทางร้านเตรียมไว้ให้ การกินวังโกะโซบะก็เริ่มขึ้น ให้ความรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังอยู่ในรายการแข่งขันกินอาหารขึ้นมาทันที พนักงานที่ยืนอยู่ข้างๆ เราก็จะคอยพูดว่า “Hai jan jan, Hai don don” พูดกึ่งร้องเป็นทำนอง ยอมรับว่าตอนแรกฟังไม่ออกว่าหมายถึงอะไร แต่เข้าใจว่าน่าจะให้กำลังใจเราทำนองว่าสู้ๆ ตอนหลังจึงรู้ว่าหมายถึง “เติมอีกซิ เติมอีกซิ”
และหากต้องการจะหยุดกินให้เรารีบปิดฝาทันทีถือว่าเป็นสัญญาณจบการรับประทานวังโกะโซบะ เพราะหากไม่ปิดฝาพนักงานก็จะเติมเส้นให้เราเรื่อยๆ ต่อให้เราจะพูดว่าพอแล้วก็ตาม ทั้งนี้ทั้งนั้นก่อนจะปิดฝาให้เราถามตัวเองอีกครั้งดูก่อนว่าอิ่มจริงๆ ใช่ไหม เพราะหากปิดฝาแล้วแต่อยากกินต่อขึ้นมา ตามธรรมเนียมปฏิบัติพนักงานจะไม่เติมเส้นให้เราอีกนั่นเอง
ครั้งนี้เรากินวังโกะโซบะไปทั้งหมด 50 ชาม ส่วนพี่ผู้ชายที่มาด้วยกัน กินไปทั้งหมด 150 ชามทั้งๆ ที่ใช้เวลากินใกล้เคียงกัน ทำเอาเราอึ้งไปเลย! บางคนอาจจะนึกภาพไม่ออกว่าวังโกะโซบะ 1 ชามปริมาณมากน้อยแค่ไหน ให้ลองนึกภาพโซบะถาดปกติ 1 ถาดเทียบกับวังโกะ 15 ชามดู พอจะนึกภาพออกกันไหมเอ่ย
สำหรับราคาในการกินวังโกะโซบะอยู่ที่ 2,970 เยน ถือว่าแอบแพงอยู่เหมือนกันสำหรับคนที่กินได้ไม่เยอะ แต่ถ้ามองว่าเป็นการซื้อประสบการณ์สักครั้งระหว่างที่มาเยือนเมืองนี้ก็ถือว่าไม่แพงนะ หรือถ้าใครอยากจะสั่งเป็นเมนูจานเดี่ยวหรือเมนูอะลาคาร์ทก็ได้เช่นกัน
เวลาเปิด-ปิด : 11.00 – 15.00 น. และ 17.00 – 18.30 น.
เว็บไซต์ : https://wankosoba.jp
หากต้องการรับประทานวังโกะโซบะ แนะนำให้โทรจองล่วงหน้า ทางโทรศัพท์หมายเลข 0120-733-130 ช่วงเวลา 10.00 – 18.30 น. ทั้งนี้หากเป็นสาขาหลักจะไม่รับจองในวันเสาร์-อาทิตย์และวันหยุดตามปฏิทิน ต้องไปรับบัตรคิวที่ร้านเท่านั้น โดยสามารถรับบัตรคิวได้ตั้งแต่เวลา 10.00 น.
ตามล่าหาพระพุทธรูปหน้าคล้ายตัวเองที่วัดโฮอนจิ (Hoon-ji Temple)
ต่อจากร้านอะซึมายะ เรานั่งรถต่อมายังวัดโฮอนจิ (Hoon-ji Temple) โดยใช้เวลานั่งรถประมาณ 10 นาที วัดนิกายเซ็นที่มีความงดงามตั้งแต่บริเวณประตูทางเข้า ไม่น่าเชื่อว่าจะมีวัดแห่งนี้ซ่อนอยู่ในเมืองใหญ่ที่แสนวุ่นวาย วัดโฮอนจิถูกสร้างขึ้นเมื่อปีค.ศ.1394 ภายในวิหารหลักมีพระพุทธรูปโกฮนซนและพระโพธิสัตว์ขนาบข้าง ซึ่งในสมัยก่อนพระพุทธรูปองค์นี้เคยประดิษฐานอยู่ที่จังหวัดนารา ก่อนจะถูกขายไปที่เกียวโตและถูกซื้อมาประดิษฐานอยู่ที่วัดนี้ในที่สุด
สำหรับไฮไลท์หลักของวัดนี้อยู่ที่บริเวณอุโบสถที่มีพระพุทธรูปองค์ใหญ่และพระอรหันต์ 16 องค์ถูกล้อมรอบด้วยพุทธสาวกจำนวน 500 องค์ที่แกะสลักจากไม้ลงรักปิดทองนั่งอยู่รอบๆ กำแพง ถูกสร้างขึ้นระหว่างปีค.ศ.1731 ถึง ค.ศ.1735 โดยประติมากรผู้สร้างพระพุทธรูปจากเกียวโต 9 คน
นอกจากจำนวนที่เยอะแล้ว หน้าตาหรือลักษณะท่าทางของพุทธสาวกยังมีเอกลักษณ์แตกต่างกันไปอีกด้วย ว่ากันว่าอาจจะเจอองค์ที่หน้าตาเหมือนเราหรือคล้ายกับคนที่เรารู้จักก็เป็นได้ โดยพระอรหันต์เหล่านี้หน้าตาจะใกล้เคียงกับคนเอเชียเชื้อสายจีนมากกว่าคนญี่ปุ่น เพราะสร้างเลียนแบบจากพระจีน ทั้งนี้จำนวนพุทธสาวกที่เราเห็นอยู่ในปัจจุบันมีประมาณ 450 องค์เท่านั้น เพราะการที่วัสดุที่ใช้ทำคือไม้ทำให้เมื่อกาลเวลาผ่านไปก็มีการชำรุดเสียหายไปพอสมควร
นอกจากนั้น ด้านในวัดยังมีห้องสำหรับฝึกปฏิบัติธรรมซึ่งเปิดให้คนทั่วไปเข้ามาฝึกนั่งสมาธิได้ทุกวันเสาร์ ช่วงเวลา 19.00 – 21.00 น. อีกด้วย (ไม่มีค่าใช้จ่าย)
เวลาเปิด-ปิด : 09.00 – 16.00 น.
การเดินทาง :
– รถบัสจากสถานี JR โมริโอกะ สายมัตสึโซโนะ-โมริโอกะ, สายคิตายามะ, สายซากุระดันจิ ขึ้นรถได้ที่สถานีโมริโอกะ ทางออกทิศตะวันออก จุดขึ้นลงรถที่ 11 ลงที่สถานีคิตะยามะ และเดินจากสถานีอีกประมาณ 5 นาที รวมระยะเวลาประมาณ 10 นาที
– นั่งรถแท็กซี่ประมาณ 10 นาทีจากสถานี JR โมริโอกะ
– เช่าจักรยาน ร้านจักรยานซาซากิที่ตั้งอยู่ติดสถานี JR โมริโอกะ ที่ร้านมีจักรยานให้บริการทั้งหมด 12 คัน เปิดให้เช่าระหว่างเวลา 09.00 – 18.00 น. (เบอร์โทรศัพท์ 019-624-2692)
ทำนัมบุเซมเบ้ที่หมู่บ้านหัตถกรรมโมริโอกะ (Morioka Tezukuri Village)
ในสมัยก่อนเมืองโมริโอกะเป็นหัวเมืองหลักของจังหวัดอิวาเตะจึงมีการสร้างปราสาทประจำหัวเมืองหลักขึ้นมาซึ่งก็คือปราสาทโมริโอกะ ทำให้บริเวณโดยรอบมีความเจริญรุ่งเรืองและเป็นแหล่งรวมช่างฝีมือด้านต่างๆ มากมาย ในปัจจุบันเราสามารถแวะไปชมและทดลองลงมือทำงานฝีมือต่างๆ ได้เช่นกัน สถานที่แห่งนี้ก็คือหมู่บ้านหัตถกรรมโมริโอกะ (Morioka Tezukuri Village) นั่นเอง
หมู่บ้านหัตถกรรมโมริโอกะถูกแบ่งออกเป็น 3 โซนหลัก ได้แก่ โซนส่งเสริมอุตสาหกรรมท้องถิ่นโมริโอกะ โซนนี้จะมีการจัดนิทรรศการเกี่ยวกับสินค้าทำมือ รวมทั้งมีร้านอาหาร คาเฟ่ และร้านขายของฝากของอิวาเตะกว่า 4,000 ชนิด โซนถัดมาจะเป็นโซนเวิร์คช็อปที่สามารถเลือกเข้าร้านต่างๆ เพื่อร่วมเวิร์คช็อปกิจกรรมต่างๆ ที่มีให้เลือกถึง 15 กิจกรรม เช่น การทำนัมบุเซมเบ้ซึ่งเป็นเซมเบ้ท้องถิ่น, การทำโมริโอกะเรเมนหรือหมี่เย็นโมริโอกะ เป็นต้น
และโรงงานส่วนใหญ่ที่ตั้งอยู่ในหมู่บ้านหัตถกรรมโมริโอกะไม่ได้เป็นเพียงโรงงานจำลองสำหรับเวิร์คช็อปเท่านั้น แต่เป็นโรงงานของผู้ผลิตแต่ละบริษัทที่ผลิตและจำหน่ายสินค้าส่งตามร้านต่างๆ ด้วย ดังนั้นรับรองได้ว่าเราจะได้เรียนรู้กับผู้เชี่ยวชาญโดยตรงอย่างแน่นอน
สำหรับโซนสุดท้ายคือ โซนกระท่อมนัมบุ (Nambu Magariya) เป็นกระท่อมทรงโบราณซึ่งเคยเป็นที่พักอาศัยจริงๆ เมื่อ 200 ปีก่อน ถูกยกมาตั้งไว้ ณ หมู่บ้านแห่งนี้ ซึ่งเราสามารถเข้าไปชมห้องที่ปูเสื่อทาทามิแบบดั้งเดิม เตาผิงแบบฝัง รวมถึงอุปกรณ์การทำเกษตรและเลี้ยงม้าได้ โดยลักษณะบ้านจะเป็นรูปทรงตัว L เพื่อให้เจ้าของบ้านสามารถมองเห็นม้าที่เลี้ยงไว้ได้
หลังจากที่เราเดินชมความงามรอบๆ แล้ว ก็กลับมาเลือกกิจกรรมเวิร์คช็อปที่เราสนใจ โดยเราเลือกกิจกรรมทำนัมบุเซมเบ้ เริ่มจากช่างฝีมือจะตัดแป้งโดเป็นก้อนกลมๆ แล้วคลึงแป้งให้เป็นแผ่นบางคล้ายคุกกี้ ก่อนจะโรยถั่วในพิมพ์เหล็กร้อน แล้ววางแป้งลงไปแล้วหนีบตัวพิมพ์ลง หลังจากนั้นช่างก็จะยื่นด้ามจับมาให้เราเป็นคนย่างเซมเบ้ต่อ โดยที่เราจะต้องคอยจ้องเข็มนาฬิกาที่อยู่ตรงหน้าเพื่อคอยพลิกพิมพ์ทุกๆ 30 วินาทีเป็นจำนวน 6 ครั้ง
ระหว่างที่พลิกไปก็มัวแต่ตื่นเต้นและถ่ายรูปอยู่จนเผลอลืมจับเวลาไปบ้าง แต่ผลที่ออกมาก็ถือว่าประสบความสำเร็จเลยทีเดียว เซมเบ้ที่เราได้กินตอนทำเสร็จใหม่ๆ ร้อนๆ จะแตกต่างจากที่ขายตามร้านทั่วไป คือมีทั้งความกรอบและความนุ่มในเวลาเดียวกัน ตัวแป้งมีกลิ่นหอมกรุ่นและรสชาติคล้ายกับคุกกี้ถั่ว
หลังจากกิจกรรมเวิร์คช็อปเราก็เดินซื้อของฝากจังหวัดอิวาเตะที่มีครบครันมากๆ และปิดท้ายด้วยการทานไอศกรีมของร้านมัตสึบกคุริ (Matsubokkuri) ซึ่งเป็นร้านไอศกรีมขึ้นชื่อของจังหวัด ตั้งอยู่ที่เมืองชิซึกุอิชิ กินแบบประกบนัมบุเซมเบ้แบบบาง 2 แผ่นเข้าไปด้วย เป็นอะไรที่อร่อยกลมกล่อมและลงตัวมากๆ
ข้อมูลเพิ่มเติม : https://tezukurimura.com
การท่องเที่ยวช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสีนั้น ฟ้าจะเริ่มมืดตอนเวลาประมาณ 4 โมงเย็น เราจึงเดินทางขับรถยาวๆ ไปพักผ่อนกันที่จังหวัดอาคิตะ เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการเที่ยวต่อในวันพรุ่งนี้ โดยเข้าพักที่ “Tazawako Lake Resort” โรงแรมค่อนข้างสะอาด ทันสมัย รวมถึงมีห้องพักสไตล์ญี่ปุ่นที่ค่อนข้างกว้างขวาง โดยที่นอนเป็นลักษณะฟูกสูง ใครที่มีปัญหาเจ็บหลังเวลานอนฟูกแบบฟุตงบางๆ นั้นยิ้มออกได้ทันที อาหารเย็นที่เสิร์ฟที่นี่เป็นสไตล์บุฟเฟ่ต์ที่ไลน์อาหารเยอะมากๆ ทั้งปูตัวใหญ่ๆ ซูชิ เทมปุระ สุกี้ยากี้เนื้อ รวมทั้งยังมีคิริทัมโปะหรือข้าวจี่ อาหารขึ้นชื่อของจังหวัดอาคิตะด้วย ขอแนะนำว่ารีบลงมาก่อนเวลาสักหน่อย ไม่อย่างนั้นต้องต่อคิวรอยาวๆ เลยล่ะ
Yamano Honey Shop ร้านน้ำผึ้งทรงบีสเคปสุดน่ารัก
เราเริ่มต้นเช้าวันใหม่ด้วยการแวะร้านน้ำผึ้ง Yamano Honey Shop (Yamano Hachimitsuya) ซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลจากโรงแรมที่เราพัก ในบริเวณร้านเดียวกันนี้แบ่งย่อยออกเป็นทั้งหมด 3 โซนด้วยกัน ได้แก่ ร้านพิซซ่า ร้านขนม และร้านน้ำผึ้ง เราพุ่งตรงไปยังร้านน้ำผึ้งอย่างไม่ลังเล และทางเจ้าของร้านก็ออกมาต้อนรับพวกเราพร้อมกับชี้ให้ดูที่รังผึ้งบีสเคป (Bee Skep) ที่ตั้งอยู่บริเวณประตูทางเข้าร้าน
โดยส่วนใหญ่เรามักจะเห็นฟาร์มต่างๆ ใช้กล่องไม้ในการเลี้ยงผึ้ง แต่ที่นี่จะใช้รังผึ้งทรงโดมที่ทำจากฟางซึ่งสืบทอดวิธีการเลี้ยงเช่นนี้มานานกว่า 50 ปี โดยถือเป็นวิธีโบราณที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานมาตั้งแต่ค.ศ.800 ในยุโรปทางตอนเหนือ การออกแบบตัวอาคารในส่วนของร้านน้ำผึ้งของ Yamano Honey Shop จึงออกแบบเป็นทรงรังผึ้งบีสเคป และเป็นที่มาของชื่อบริษัท “YAMANOHACHIMITSUYA Bee-Skep” ด้วยนั่นเอง
เอกลักษณ์ของน้ำผึ้งที่นี่คือน้ำผึ้งชั้นดีที่มาจากดอกไม้หลากหลายชนิด น้ำผึ้งที่ขายดีที่สุดเป็นน้ำผึ้งที่ได้มาจากดอกอเคเซีย (アカシヤ) และดอกโทะจิ (トチ) ทั้งนี้นอกจากน้ำผึ้งที่ผลิตในประเทศแล้วยังมีน้ำผึ้งที่นำเข้าจากต่างประเทศ ทั้งจากประเทศฝรั่งเศส สเปน และฮังการีวางจำหน่ายด้วย โดยทางร้านมียอดการขายน้ำผึ้งได้สูงถึงปีละ 75 ตัน เป็นน้ำผึ้งในประเทศและต่างประเทศในสัดส่วนครึ่งต่อครึ่ง
นอกจากน้ำผึ้งแล้ว ยังมีผลิตภัณฑ์ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับน้ำผึ้งวางขายด้วย ไม่ว่าจะเป็นอาหารเสริมที่ทำจากสารสกัดน้ำผึ้ง แยมน้ำผึ้งที่ไม่ใส่น้ำตาล น้ำโซดาน้ำผึ้ง เค้กใส่น้ำผึ้ง น้ำส้มสายชูน้ำผึ้งจากดอกไม้ชนิดต่างๆ ที่มีให้ลองชิมก่อนซื้อด้วย รวมไปถึงเครื่องสำอางที่ทำจากน้ำผึ้งก็มีเช่นกัน หลากหลายมากๆ เลย
อีกสิ่งหนึ่งที่สายหวานห้ามพลาดก็คือ ซอฟท์ครีมหรือไอศกรีมซอฟท์เสิร์ฟรสน้ำผึ้ง ที่อร่อย หวานกลมกล่อม แถมจุดจำหน่ายซอฟท์ครีมยังมีกิมมิคน่ารักๆ ให้เราได้ร่วมเล่นด้วย นั่นก็คือการทอยลูกเต๋าเพื่อลุ้นรับท็อปปิ้งเพิ่มเติมความมุ้งมิ้งให้กับซอฟท์ครีมของเรานั่นเอง กติกาคือหากลูกเต๋าทอยได้เลข 8 ซึ่งภาษาญี่ปุ่นอ่านว่า “ฮาจิ” เป็นคำพ้องเสียงกับคำว่า ผึ้ง จะได้ช็อคโกแลตรูปผึ้งบนไอศกรีมทั้งหมด 8 ตัว และถ้าทอยต่ออีกครั้งแล้วได้เลข 8 อีกรอบก็จะได้ช็อคโกแลตรูปดอกไม้อีก 8 ดอก กลายเป็นซอฟท์ครีมทุ่งดอกไม้ที่เต็มไปด้วยผึ้ง เราเองทอยได้เลข 8 ก็เลยได้ผึ้งมา 8 ตัว ส่วนใครที่ทอยไม่ได้เลข 8 ก็จะได้ผึ้ง 1 ตัวเป็นรางวัลปลอบใจ
อ้อ! ก่อนกลับอย่าลืมลองหมุนกาชาปองน้ำผึ้ง 8 ชนิด ราคาหมุนครั้งละ 300 เยนดูนะ เราว่าเป็นอะไรที่คุ้มมากๆ เพราะปกติราคาน้ำผึ้งที่วางจำหน่ายในร้าน ราคา 570 เยนล่ะ
เวลาเปิด-ปิด : 09.00 – 17.30 น. (สำหรับฤดูหนาวเปิดถึง 17.00 น.)
วันหยุด : หยุดช่วงปีใหม่
เว็บไซต์ : www.bee-skep.com
เวิร์คช็อปจัดดอกไม้ในขวดน้ำมัน (Herbarium) ที่ Lake Tazawa Herb Garden “Heart Herb”
เติมพลังด้วยไอศกรีมซอฟท์เสิร์ฟรสน้ำผึ้งกันแล้ว เราออกเดินทางกันต่อโดยนั่งรถเลียบทะเลสาบทาซาวะ (Tazawa Lake) มายัง Lake Tazawa Herb Garden “Heart Herb” (田沢湖ハーブガーデン「ハートハーブ」) ทะเลสาบทาซาวะเป็นทะเลสาบขนาดใหญ่ในจังหวัดอาคิตะที่เกิดจากแอ่งยุบปากปล่องภูเขาไฟ ถือว่าเป็นทะเลสาบที่ลึกมากที่สุดในญี่ปุ่น
ส่วนที่ Lake Tazawa Herb Garden นั้น หากมาช่วงฤดูใบไม้ผลิจะได้ชมความสวยงามของดอกไม้ สมุนไพร และต้นไม้ต่างๆ ส่วนช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสีก็สามารถได้ชมความงามของธรรมชาติที่แตกต่างออกไป อีกทั้งยังสามารถเดินเล่นชมดอกไม้ ต้นกล้า และสมุนไพรในโรงเรือนได้เช่นกัน
ภายในอาคารจะมีโซนทำกิจกรรมเวิร์คช็อป โซนร้านขายของฝาก และโซนร้านอาหาร เราเริ่มจากการร่วมทำกิจกรรมจัดดอกไม้ในขวดน้ำมันหรือ Herbarium ซึ่งมีที่มาจากการผสมคำ 2 คำคือคำว่า Herb และ Aquarium เป็นการจัดดอกไม้อบแห้งและดอกไม้พรีเซิร์ฟลงไปในขวดแก้วโดยใช้คีมยาวค่อยๆ จัดเรียงลงไป ระหว่างเวิร์คช็อปจะมีคุณครูคอยให้คำแนะนำอยู่ข้างๆ เมื่อจัดเสร็จแล้วก็จะเทน้ำมัน (Mineral oil) ลงไปโดยการค่อยๆ เทให้ไหลลงไปตามผนังขวด เพื่อไม่ให้ดอกไม้ที่เราจัดนั้นเสียทรง
นอกจากกิจกรรมดอกไม้ในขวดน้ำมันแล้วก็ยังมีกิจกรรมอื่นๆ อีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการทำเทียน เทียนหอม ช่อดอกไม้ขนาดจิ๋ว (リース) ฯลฯ ซึ่งน่าสนใจมากๆ
ร่วมกิจกรรมเวิร์คช็อปเสร็จเรียบร้อย เราแวะไปเดินเล่นโซนร้านขายของฝากกันต่อ ภายในร้านจำหน่ายสินค้าที่เกี่ยวกับดอกไม้ สมุนไพร อโรม่าต่างๆ รวมถึงยังมีถังไม้ซึ่งมาพร้อมตั๋วแช่ออนเซ็นที่นิวโตะออนเซ็น (Nyuto Onsen) ออนเซ็นเก่าแก่ของจังหวัดอาคิตะ เป็นออนเซ็นสีน้ำนมที่เป็นที่นิยมมากๆ ในแถบนี้ ซึ่งตั๋วที่ได้รับสามารถใช้บริการแช่ออนเซ็นได้ทั้งหมด 3 ครั้ง วางจำหน่ายในราคา 1,500 เยน หากใครตั้งใจจะไปแช่ออนเซ็นที่นี่ก็ถือว่าคุ้มค่าทั้งในแง่ของราคา และยังได้ของที่ระลึกกลับไปด้วย
ได้เวลามื้อกลางวันพอดีเราจึงเดินไปยังโซนร้านอาหาร ที่นี่เหมาะสำหรับคนที่ชอบดื่มชาสมุนไพรมากๆ เพราะจะมีรถเข็นที่บรรจุโหลแก้วใส่ชาต่างๆ หรือเรียกว่า Herb Tea Bar ที่เราสามารถเลือกเบลนด์หรือผสมชาสมุนไพรได้ตามความชื่นชอบ โดยการตักสมุนไพรที่เราชอบใส่แก้วที่เตรียมไว้ให้ และถ้าหากกลัวว่าจะผสมออกมาได้รสชาติแปลกๆ ทางร้านก็มีป้ายแนะนำสรรพคุณสมุนไพรนั้นๆ ไว้ให้เราได้ลองผสมตามด้วยเช่นกัน
เมนูอาหารกลางวันของที่นี่ที่เราขอแนะนำคือโอยาโกะด้ง ที่ใช้ไก่ฮินาอิ จิโดริ (Hinai Jidori) ไก่เลี้ยงตามธรรมชาติที่มีชื่อเสียงมากๆ ของจังหวัดอาคิตะ เป็นไก่ที่ถือว่าอร่อยติดอันดับ 1 ใน 3 ของญี่ปุ่น เพราะฉะนั้นจึงไม่ควรพลาด!
ไม่มีค่าเข้าชม
เวลาเปิด-ปิด : 10.00 – 16.00 น. (จันทร์-ศุกร์) และ 09.00 – 17.00 น. (เสาร์-อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์)
*เปิดทุกวันตั้งแต่ช่วงกลางเดือนเมษายน – พฤศจิกายน ส่วนช่วงฤดูหนาวตั้งแต่กลางเดือนพฤศจิกายน – ต้นเดือนเมษายน เปิดให้บริการเฉพาะวันเสาร์-อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ (เวลา 10.00 – 16.00 น. )
เว็บไซต์ : www.heart-herb.co.jp
เดินชมความงดงามของธรรมชาติที่ “หุบเขาดาคิกาเอริ” (Dakigaeri Gorge)
หลังจากกินโอยาโกะด้งแสนอร่อยจนหมดแล้ว เรามาเดินเผาผลาญพลังงานที่กินเข้าไปตั้งแต่มื้อเช้า โดยการเดินชมธรรมชาติอันสวยงาม ณ สถานที่ขึ้นชื่อที่ควรมาชมใบไม้แดง “หุบเขาดาคิกาเอริ” (Dakigaeri Gorge) เมืองเซมโบกุ จังหวัดอาคิตะ เอกลักษณ์คือเป็นหุบเขาที่มีแม่น้ำทามะไหลผ่านช่องเขา มีต้นไม้ผลัดใบที่ทำให้การเดินทางมาเยือนในแต่ละฤดูมีเสน่ห์แตกต่างกันออกไป ที่มาของชื่อหุบเขานี้มาจากการเดินทางผ่านเส้นทางบริเวณดังกล่าวซึ่งสมัยก่อนนั้นทางเดินค่อนข้างแคบและชันมากๆ หากต้องเดินสวนทางกันจำเป็นต้องอุ้มอีกคนแล้วกลับตัวให้เดินสวนทางกันได้ ซึ่งการอุ้มอีกคนแล้วกลับตัวในภาษาญี่ปุ่นคือ “抱返り” (Dakigaeri) นั่นเอง
จากทางเข้าเราจะเดินผ่านศาลเจ้าดาคิกาเอริก่อน จากนั้นเดินข้ามสะพานคามิโนะอิวาฮาชิ (Kami no Iwahashi) หรือ Rock Bridge of the Gods ซึ่งเป็นสะพานแขวนที่เก่าแก่ที่สุดในจังหวัดอาคิตะ สร้างเสร็จในปีค.ศ.1926
เดินเลียบแม่น้ำทามะไปเรื่อยๆ ประมาณ 1.5 กิโลเมตรจนกระทั่งถึงอุโมงค์ที่เมื่อเราเดินลอดไปก็จะพบกับน้ำตกมิคาเอริ (Mikaeri no Taki) ซึ่งเป็นหนึ่งในจุดชมวิวที่มีชื่อเสียงที่สุดของพื้นที่นี้ น้ำตกมีความสูงถึง 30 เมตร สวยงาม และให้ไอเย็นสดชื่น ช่วยให้ความเหนื่อยที่เกิดขึ้นระหว่างการเดินมาที่นี่นั้นหายเป็นปลิดทิ้ง น้ำตกมิคาเอริถือเป็นจุดสิ้นสุดของการเดินบนหุบเขานี้ เพราะฉะนั้นก่อนกลับ เราเชื่อว่าหลายๆ คนคงต้องหันกลับไปมองความงดงามของน้ำตกและธรรมชาติโดยรอบกันอีกสักครั้ง ซึ่งนั่นคือที่มาของชื่อน้ำตกมิคาเอริ ที่แปลว่า “ หันกลับไปมองอีกรอบ” ล่ะ
การเดินทาง : นั่งแท็กซี่ประมาณ 15 นาทีจากสถานี Kakunodate *ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงจะมีรถให้บริการฟรีจากสถานี Kakunodate
เว็บไซต์ : www.city.semboku.akita.jp/en/index.html
ไปเล่นกับซูจังและฟูจิโกะจังที่ Kakunodate Vacation Rental Enishi กันเถอะ!
ชมความงามของธรรมชาติแล้ว เรานั่งรถเข้ามาที่เมืองคาคุโนะดาเตะ (Kakunodate) ซึ่งเป็นหมู่บ้านซามูไร แต่ก่อนที่จะเริ่มเดินเล่นบริเวณโดยรอบหมู่บ้าน เราขอแวะไปเล่นกับน้องๆ สุนัขพันธุ์ท้องถิ่นของที่นี่คือน้องหมาอาคิตะ กันก่อน! เราแวะเล่นกับเหล่าน้องหมาอาคิตะกันที่ Kakunodate Vacation Rental Enishi เกสต์เฮาส์เล็กๆ ที่มีน้องหมาอาคิตะ 2 ตัวเป็นคู่กัน ชื่อซูจัง เพศชาย อายุ 3 ขวบ และฟูจิโกะจัง เพศหญิง 2 ขวบ สังเกตง่ายๆ คือซูจังจะเป็นตัวที่มีคิ้ว น้องเรียบร้อยกันทั้งคู่ เป็นมิตรกับคนมากๆ โดยเฉพาะน้องฟูจิโกะที่พร้อมจะกระโจนเลียหน้าแสดงความรักต่อแขกผู้มาเยือน จนทำเอาซูจังมองตาปริบๆ ด้วยความหึงอยู่ไกลๆ
ทั้งนี้โดยปกติแล้วถึงแม้ว่าจะไม่ได้เข้าพักก็สามารถแวะมาถ่ายรูปเล่นกับน้องๆ ได้ โดยให้หยอดค่าขนมใส่ตู้บริเวณตรงปากทางเข้าคนละ 100 เยน แต่เนื่องจากสถานการณ์โควิด-19 ทำให้ช่วงนี้ทางเจ้าของจึงขอจำกัดเฉพาะลูกค้าที่เข้าพักที่เกสต์เฮ้าส์เท่านั้น หลังสถานการณ์ดีขึ้นจะเปิดให้กลับมาเล่นกับน้องได้เหมือนเดิม
สำหรับใครที่สนใจอยากพักที่นี่ ค่าห้องพักคืนละ 5,000 – 7,000 เยน/คน (ไม่รวมค่าอาหาร) มีห้องน้ำฝักบัว และตามกฎหมายญี่ปุ่น ที่พักในรูปแบบของเกสต์เฮาส์จะสามารถเปิดให้แขกมาเข้าพักได้เพียง 280 วัน/ปี จึงแนะนำให้ทำการจองที่พักแต่เนิ่นๆ
เว็บไซต์ : http://enishimusubi.com
การเดินทาง : ใช้เวลาเดินประมาณ 18 นาทีจากสถานี JR Kakunodate
เรียนรู้ประวัติศาสตร์และสัมผัสบรรยากาศบ้านซามูไรของจริงที่คาคุโนะดาเตะ (Kakunodate)
ปิดท้ายการท่องเที่ยววันที่ 4 ด้วยการเดินชมใบไม้เปลี่ยนสีต่อที่หมู่บ้านซามูไร คาคุโนะดาเตะ (Kakunodate) บรรยากาศที่นี่มีความคล้ายคลึงกับที่เกียวโต จึงได้รับฉายาว่าเป็น Little Kyoto โดยที่หมู่บ้านแห่งนี้ตั้งอยู่บนถนนบุเคะยาชิกิ บ้านทุกหลังที่เราเห็นบนถนนเส้นนี้เป็นบ้านซามูไรที่มีอายุหลายร้อยปี ถูกอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดี ซึ่งจะมีทั้งบ้านที่เปิดให้เข้าชมและบ้านที่ยังมีคนอยู่อาศัยจริงๆ
นอกจากบ้านซามูไรเก่าแก่ จุดเด่นของที่นี่อีกอย่างคือต้นไม้ต่างๆ ที่มีอายุเกือบ 300 ปี โดยมีต้นไม้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นต้นซากุระที่ได้สายพันธุ์มาจากเกียวโต ต้นเมเปิ้ล ต้นแป๊ะก๊วย รวมไปถึงต้นสน ทำให้ธรรมชาติโดยรอบงดงามทั้งช่วงฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้เปลี่ยนสี อีกทั้งยังมีต้นโมมิหรือต้นคริสต์มาสซึ่งเป็นต้นไม้ที่ตั้งตรงและสูงใหญ่ เป็นต้นที่ปลูกไว้เพื่อแสดงยศด้วย
หากใครขี้เกียจเดิน สามารถนั่งรถลาก (Jin Rikisha) เพื่อชมวิวรอบหมู่บ้านซามูไรพร้อมฟังคำอธิบายจากคนลากรถ พวกเขาอธิบายข้อมูลได้ละเอียดและน่าสนใจทีเดียว ถือว่าเป็นการเรียนรู้ประวัติศาสตร์แบบไม่น่าเบื่อ ข้อมูลที่น่าสนใจ เช่น ในเขตอุจิมาจิที่ซามูไรอาศัยอยู่นั้นจะมีต้นไม้สูงๆ ในขณะที่โทมาจิที่พ่อค้าอาศัยอยู่จะไม่มี แสดงให้เห็นถึงความแตกต่างของฐานะอย่างชัดเจน ซึ่งซามูไรที่ยศสูงก็จะยิ่งปลูกต้นไม้สูงได้ โดยการปลูกต้นไม้สูงนั้นนอกจากจะแสดงถึงยศฐาบรรดาศักดิ์แล้ว ยังช่วยปกป้องบ้านจากความร้อนในช่วงฤดูร้อนได้อีกด้วย หรือจะเป็นเรื่องความสูงของรั้วและรายละเอียดยิบย่อยที่จะแสดงความแตกต่างของยศนั้นๆ เป็นต้น
สำหรับครั้งนี้ เรามีโอกาสได้เข้าไปเดินชมในคฤหาสน์ของซามูไรอิชิกุโระ ซึ่งเป็นซามูไรชั้นสูง โดยมีคุณอิชิกุโระ ผู้สืบทอดตระกูลซามูไรอิชิกุโระออกมาต้อนรับพร้อมอธิบายเกี่ยวกับบ้านหลังนี้ว่าเป็นบ้านที่สร้างมานานกว่า 200 ปีแล้ว ถือเป็นบ้านที่เก่าแก่ที่สุดในบ้านซามูไรทั้ง 6 หลังที่ยังหลงเหลืออยู่ อีกทั้งยังเป็นหลังเดียวที่ลูกหลานของตระกูลยังคงอาศัยอยู่ในบ้านจริงๆ ทั้งนี้บรรพบุรุษของคุณอิชิกุโระทำหน้าที่การคลัง มีฐานะดี จึงทำให้บ้านมีบริเวณกว้างกว่าบ้านหลังอื่น
การเดินทาง : ใช้เวลาเดินประมาณ 18 นาทีจากสถานี JR Kakunodate
เว็บไซต์ : www.samuraiworld.com/english
ปิดท้ายวันด้วยการเข้าพักที่เรียวกัง Kayokan Hotel ที่พักสไตล์ญี่ปุ่นแบบโบราณซึ่งอยู่ไม่ไกลจากหมู่บ้านซามูไรมากนัก เรารับประทานอาหารมื้อค่ำซึ่งเป็นอาหารพื้นบ้านของจังหวัดอาคิตะ คือ “นาเบะคิริทัมโปะ” ที่นำข้าวอาคิตะไปบดจากนั้นนวดให้เป็นแผ่นแล้วพันไม้ซูกิโนะและนำไปย่างถ่าน ก่อนจะนำมาต้มกับไก่บ้าน ซุปรสชาติดีมากๆ ไก่ย่างซอสมิโสะก็อร่อย อิ่มท้องแล้วก็แช่ออนเซ็นต่ออย่างสบายใจ ส่งท้ายวันที่ 4 ของการเดินทางได้แบบฟินสุดๆ
อ่าน “ทริปตามล่าใบไม้แดงที่โทโฮคุ (Tohoku) ตอนที่ 1” คลิก
เรื่องและภาพ : Nozomi (โนโซมิ) เจ้าของเพจ “เมื่อฉันมาอยู่ญี่ปุ่น – Japan simple life“