Special Interview : “Up” Poompat Iam-samang
จากนักศึกษาคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ลีดคณะ และจุฬาคฑากรรุ่นที่ 7.1 สู่กระแสบนโลกออนไลน์ผ่านทางเพจ Chula Cute Boy และเป็นที่รู้จักในวงกว้างมากขึ้นผ่านผลงานพระเอกโฆษณารวมทั้งมิวสิกวิดีโออีกหลายชิ้น “อัพ – ภูมิพัฒน์ เอี่ยมสำอาง” (Up – Poompat Iam-samang) ได้ก้าวเข้าสู่วงการนักแสดงอย่างเต็มตัวด้วยผลงานซีรีส์เรื่อง GGEZ เกรียนเมพเทพศาสตร์ ก่อนจะโด่งดังเป็นพลุแตกจากซีรีส์ “นับสิบจะจูบ” (Lovely Writer) สามารถคว้าหัวใจสาว ๆ หลายคนทั้งในไทยและทั่วโลกมาครองได้สำเร็จ
ครั้งนี้ ดาโกะจึงอยากจะชวนคุณผู้อ่านมาทำความรู้จักนักแสดงหนุ่มสุดแสนเฟรนด์ลี่คนนี้ให้มากขึ้นผ่านคำถามทั้ง 13 ข้อต่อจากนี้!
สิ่งสำคัญคือการทำความเข้าใจบท เข้าใจตัวละคร
เพื่อที่จะได้สร้างสรรค์ผลงานที่ดีที่สุดออกมาให้ผู้ชมได้รับชม
เหตุผลที่ทำให้ตัดสินใจมาเป็นนักแสดง
ก่อนอื่นเลยต้องขอบคุณพี่ ๆ หลายคนที่มอบโอกาสนี้ให้กับผมครับ ช่วงที่ผมเริ่มเรียนปี 1 ที่คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ก็ได้รับโอกาสจากพี่ ๆ หลายคนให้ผมได้ลองรับเล่นเป็นตัวประกอบ (Extra) ถ่ายงานโฆษณาต่าง ๆ จนวันหนึ่งที่ผมได้รับงานมากขึ้น เริ่มได้เล่นซีรีส์ ผมเริ่มรู้สึกว่าการแสดงเป็นศาสตร์ที่สนุก และเป็นเรื่องที่ท้าทายมาก ๆ
ทุก ๆ ครั้งที่ได้รับบทใหม่ ๆ มันเหมือนการที่เราได้ลองเป็นคนอีกคนหนึ่งตามคาแรกเตอร์ของตัวละครในแต่ละเรื่อง อาชีพนี้จึงเป็นอาชีพที่ผมรู้สึกว่าสนุก ท้าทาย และทำให้เราได้พัฒนาตัวเองอยู่เรื่อย ๆ แบบไม่มีที่สิ้นสุด นั่นจึงเป็นเหตุผลให้ผมตัดสินใจก้าวเข้าสู่อาชีพนักแสดงอย่างเต็มตัวครับ
แล้วตอนที่แสดงละคร อะไรคือสิ่งที่อัพให้ความสำคัญมากที่สุด
ผมมองว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดคือความรับผิดชอบในการเป็นนักแสดงครับ อย่างเรื่องการตรงต่อเวลา หรือเรื่องที่สำคัญมาก ๆ อีกเรื่องอย่างการทำการบ้าน การทำความเข้าใจบท ทำความเข้าใจตัวละครที่ต้องเล่นว่าเป็นตัวละครแบบไหน มีนิสัยอย่างไร เพื่อที่เราจะสามารถถ่ายทอดคาแรกเตอร์นั้น ๆ ออกมาได้อย่างเต็มที่และดีที่สุด เพื่อที่จะได้สร้างสรรค์ผลงานที่ดีที่สุดออกมาครับ
การแสดงก็เปรียบได้กับมีดที่จะต้องหมั่นลับมีดไปเรื่อย ๆ เพื่อให้คมอยู่ตลอดเวลา
ผลงานเรื่องไหนที่ทำให้อัพรู้สึกมั่นใจในการเป็นนักแสดง เพราะอะไร
ความจริง ทุกวันนี้ผมเองก็ยังมีความไม่มั่นใจอยู่ และเชื่อว่านักแสดงหลาย ๆ คนน่าจะคิดเหมือนกัน เพราะทุก ๆ ครั้ง เวลาที่เราได้รับบทบาทใด ๆ มาก็ถือว่าเป็นอะไรที่ใหม่เสมอ ผมเลยไม่สามารถบอกได้ว่าผมเล่นเรื่องนี้เรื่องนั้นแล้วผมมั่นใจว่าผมแสดงได้ดีเยี่ยม เพราะผมเองก็อาจจะยังไม่ได้เจอบทละครหรือคาแรกเตอร์ที่ท้าทายมากกว่านี้
และตัวผมเองก็ไม่เคยมองว่าตัวเองเป็นนักแสดงที่เก่งนะ ไม่เคยคิดแบบนั้นเลย เพราะผมรู้สึกว่าการเป็นนักแสดงมันคือการที่เราต้องพัฒนาต่อไปเรื่อย ๆ ผมมองว่าการแสดงก็คล้ายกับเทรนด์หรือกระแสต่าง ๆ รูปแบบการแสดงที่คนชื่นชอบทุกวันนี้อาจจะเป็นแบบนี้ แต่ในอนาคตอีก 10 ปีข้างหน้า รูปแบบการแสดงที่คนชื่นชอบก็อาจจะเป็นอีกแบบหนึ่ง ผมว่ามันคือการลับมีดไปเรื่อย ๆ ให้มันคมอยู่ตลอดเวลา ถ้าเมื่อใดที่เรายอมที่จะหยุดอยู่กับที่แล้ว ผมมองว่าตอนนั้นมันคือจุดที่เราจะต้องพิจารณาตัวเองดูอีกครั้ง
ผมเลยภูมิใจกับทุกเรื่องที่ผมได้รับโอกาสครับ ตั้งแต่เรื่องแรกอย่าง “GGEZ เกรียนเมพเทพศาสตร์” เรื่องนี้เกี่ยวกับเกมและในตอนนั้น ผมเป็นนักแสดงหน้าใหม่มาก ๆ แต่พอได้มาลองเล่นลองแสดงก็ทำให้ผมรู้สึกเริ่มชอบการเป็นนักแสดงมากขึ้น หรืออย่างเรื่อง “เด็กใหม่” (Girl From Nowhere) ก็เป็นอีกบทบาทที่ท้าทายมาก ๆ รวมทั้งเรื่อง “นับสิบจะจูบ” (Lovely Writer) ด้วยครับ
ตอนนี้ละคร BL (Boys’ Love) ของประเทศไทยได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก คิดว่าเป็นเพราะอะไร
ผมคิดว่าเป็นเพราะประเทศไทยเรามีทีมโปรดักชั่นและทีมครีเอทีฟที่เก่งและมีความสามารถมาก ๆ ซึ่งผมเองเวลาที่ได้เจอทีมงานที่มีส่วนร่วมในการสร้างสรรค์ผลงานละคร BL ก็รู้สึกประทับใจในความสามารถ ในไอเดียของพวกเขามาก ๆ ครับ พวกเขาพัฒนาตลอดเวลาไม่ว่าจะเป็นเรื่องคอนเทนต์ หรือเรื่องอื่น ๆ มันทำให้เห็นถึงความตั้งใจของทีมงานคนไทย และผมคิดว่าความตั้งใจเหล่านั้นที่อยากจะให้คนดูเข้าใจ BL มากขึ้น ได้ถูกส่งต่อไปยังคนดูทั้งคนไทยและคนต่างประเทศ และนั่นคงเป็นเหตุผลที่ทำให้ละคร BL ของประเทศไทยได้รับความนิยมมาก ๆ ครับ
การแสดงสำหรับผมมันคือการนำเอาความเป็นมนุษย์ออกมาขยายให้คนดูได้เข้าใจมากขึ้น
รู้สึกอย่างไรที่ได้มีโอกาสร่วมแสดงในละคร BL เรื่อง “นับสิบจะจูบ”
ตอนที่ไปแคสต์บท ตัวผมเองยังใหม่มากสำหรับซีรีส์แนวนี้ อาจจะยังไม่เข้าใจแนวละครดีพอ เลยไม่คิดว่าจะมีโอกาสได้ร่วมแสดงละคร แต่พอรู้ว่าจะได้ร่วมแสดงก็ตื่นเต้นมากครับ หลังจากนั้น ผมก็เริ่มทำการบ้าน พยายามทำความเข้าใจและก้าวข้าม comfort zone ของตัวเอง ผมรู้สึกว่าตัวผมเองได้ unlock อะไรหลาย ๆ อย่างจากการได้เล่นเรื่อง “นับสิบจะจูบ” แล้วก็ดีใจมาก ๆ ที่ได้เต็มที่กับการแสดงละครเรื่องนี้ด้วย ในอนาคตถ้ามีโอกาสได้เล่นละครแนวนี้อีก ก็อยากจะเต็มที่กับทุก ๆ เรื่อง และพัฒนาตัวเองไปเรื่อย ๆ ครับ
มีบทบาทหรือคาแรกเตอร์ไหนที่อยากจะมีโอกาสได้ลองแสดงด้วยไหม
ความจริงมีเยอะมากครับ เวลาที่เราได้อ่านบทความเกี่ยวกับการทำงานของนักแสดงที่รับบท Joker หรือบทอื่น ๆ แล้ว ผมรู้สึกว่ามันสร้างแรงบันดาลใจให้ผมได้เสมอ เพราะการแสดงสำหรับผมมันคือสิ่งที่ไม่ตายตัว การแสดงคือการนำเอาความเป็นมนุษย์ออกมาขยายให้คนดูได้เข้าใจมันมากขึ้น ทุกตัวละครมีเสน่ห์ในตัวของมัน และผมก็คิดว่าคงไม่มีนักแสดงคนไหนที่จะเลือกรับบทที่เหมือน ๆ กันตลอด แต่ละคาแรกเตอร์ย่อมมีเบื้องหลังหรือแบ็คกราวน์ที่แตกต่างกันออกไป
ส่วนตัวผมแล้ว คาแรกเตอร์ที่ผมมองว่าท้าทายสำหรับตัวเองมาก ๆ คงจะเป็นบทที่ใช้ร่างกายหนัก ๆ แต่จริง ๆ ถ้าได้รับโอกาสแบบไหนก็สนใจหมดครับ (หัวเราะ)
ให้เธอไปแล้วทั้งหมดทั้งใจ แต่เธอจะรับหรือไม่ก็ Up to you~
ช่วยแนะนำผลงานเพลงที่เพิ่งปล่อยออกมาให้แฟน ๆ ได้ฟังเมื่อวันที่ 30 มิถุนายนหน่อย
เพลงนี้มีชื่อว่า “Up to you” ครับ ให้เธอไปแล้วทั้งหมดทั้งใจ แต่เธอจะรับหรือไม่ก็ Up to you~ ♫ (ฮัมเพลง) เป็นเพลงที่ตั้งใจมาก ๆ ครับ เพราะตลอดชีวิตที่ผ่านมา 27 ปีคิดว่าการทำเพลงเพลงนี้เป็นอีกหนึ่งสิ่งในชีวิตที่ตั้งใจทำมาก ๆ อยากให้เป็นเพลงที่ทุกคนฟังแล้วมีความสุขไปกับเพลงเพลงนี้ ต้องขอบคุณพี่จัสติน (ผู้จัดการ) มาก ๆ ที่คอยผลักดันผมให้ลองทำสิ่งนี้ครับ เพราะจริง ๆ แล้ว ผมเองเป็นคนที่ไม่มั่นใจเรื่องการร้องเพลงหรือการเต้นเลย แต่ผมมองว่านี่เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ท้าทายและอยากพัฒนาให้ดีขึ้นไปเรื่อย ๆ
นอกจากนี้ ผมอยากขอบคุณทีมงาน พี่แอ้มซึ่งเป็นคนแต่งเพลง พี่คิดที่ช่วยทำดนตรี รวมไปถึงทีม Halem Shake ที่ช่วยออกแบบท่าเต้นด้วยครับ ทุกคนเต็มที่กับผมมาก ๆ จากคนที่ไม่กล้าร้องเพลง ไม่กล้าเต้น กลายเป็นว่าผมโคตรจะมีความสุขเลยที่ได้ทำสิ่ง ๆ นี้
หลังจากที่ตัดสินใจว่าจะทำเพลงแล้ว ใช้เวลาในการเตรียมตัวนานไหม
จากคนที่ไม่กล้าร้องเพลง ร้องกี่ครั้งก็เพี้ยน ไปคาราโอเกะกับเพื่อนก็ไม่เคยร้อง นั่งฟังอย่างเดียว (หัวเราะ) จนได้มาทำในสิ่งที่เราไม่เคยคิดว่าจะได้ทำ สิ่งนี้มันทำให้ผมมีความสุขมากครับ รู้สึกได้เติมเต็มในสิ่งที่ขาดไป เพราะสิ่งนี้มันเคยเป็นปมในใจผมมาตลอด พอได้ลองทำดูมันเลยช่วยปลดล็อคปมตรงนี้ ทำให้ผมกล้าที่จะก้าวข้ามออกมาจาก Comfort zone ของตัวเอง ซึ่งผมเริ่มเรียนร้องเพลงและเรียนเต้นมาได้ประมาณปีกว่า ๆ ครับ ถือว่าเป็นการเตรียมตัวที่ยาวนานมาก ๆ (ยิ้ม)
ระหว่างการแสดงและการร้องเพลง ชอบทำสิ่งไหนมากกว่ากัน
ถ้าลึก ๆ แบบจริง ๆ เลยคิดว่าชอบการแสดงมากกว่าครับ แต่พอได้มาลองร้องเพลง ก็รู้สึกว่าทั้งสองสิ่งมีความคล้ายกันอยู่ แล้วก็รู้สึกว่าการร้องเพลงก็สนุกเหมือนกัน ผมเลยมองว่ามันสามารถทำควบคู่ไปด้วยกันได้ รวมไปถึงการเต้น และศาสตร์การแสดงด้านอื่น ๆ ด้วย
หลังจากนี้ อัพได้ตั้งเป้าหมายอะไรไว้บ้าง
ผมอยากทำสิ่งที่ตั้งใจทำอยู่ในตอนนี้ให้ดีครับ (ยิ้ม) อยากจะพัฒนาทั้งทักษะการแสดง การร้อง และการเต้นให้ดีมากขึ้นกว่าเดิม รวมทั้งอยากมีโอกาสลองเล่นละครที่ต่างประเทศ และอยากเรียนภาษาใหม่ ๆ หลากหลายภาษาอย่างภาษาญี่ปุ่นด้วยครับ
ตอนช่วงมัธยมปลาย ผมเคยเรียนภาษาญี่ปุ่นมาแล้ว แต่ไม่มีโอกาสได้ใช้เลย เลยแทบจะสื่อสารไม่ได้แล้ว อยากจะกลับมาเรียนภาษาญี่ปุ่นอีกครั้ง และอยากจะพูดคุยสื่อสารกับแฟนคลับต่างประเทศได้มากกว่าเดิมครับ
แฟนคลับชาวญี่ปุ่นเองก็น่ารักมาก ๆ เคยมีโอกาสได้วิดีโอคอลกับหลายคน พวกเขาพยายามเรียนภาษาไทย พยายามเขียนภาษาไทยในการ์ดหรือจดหมาย น่ารักและเก่งมาก ๆ เลย เวลาที่ได้อ่านก็จะรับรู้ถึงความพยายามของทุกคนเลยครับ
ช่วงเวลาส่วนตัวก็จะอ่านหนังสือ วางโทรศัพท์มือถือไว้ให้ห่างตัว
แล้วอยู่กับตัวเอง อยู่กับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าครับ
ปกติมีวิธีในการดูแลตัวเองอย่างไรบ้าง
นอนครับ! (หัวเราะ) นอกจากการนอนก็คือดื่มน้ำเยอะ ๆ ครับ ปกติเป็นคนดื่มน้ำเยอะมาก ๆ เฉลี่ยวันละประมาณ 3 – 4 ลิตรเลย ก็เลยทำให้ผมเป็นคนเหงื่อออกเยอะด้วยครับ (หัวเราะ) หลัก ๆ ก็คือพักผ่อนให้เพียงพอ ผมว่าการนอนให้พอเป็นเรื่องที่ยากมากนะ แต่ก็พยายามทำให้ได้อยู่ครับ ส่วนเรื่องเรื่องอาหารก็พยายามเลือกกินสิ่งที่มีประโยชน์
นอกจากนั้น ช่วงเวลาส่วนตัวก็จะอ่านหนังสือครับ ผมจะวางโทรศัพท์มือถือไว้ให้ห่างตัว แล้วอยู่กับตัวเอง อยู่กับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า ผมชอบอ่านหนังสือมาก ๆ ผมรู้สึกว่ากว่าที่หนังสือเล่มหนึ่งจะถูกเขียนออกมาได้นั้น ต้องใช้เวลามาก ๆ ซึ่งหนังสือหนึ่งเล่มก็เปรียบเสมือน USB ส่วนตัวเราก็คือคอมพิวเตอร์ เพราะฉะนั้นเวลาที่เราอ่านหนังสือเล่มหนึ่ง ก็เหมือนการดาวน์โหลดข้อมูล ดาวน์โหลดความรู้ที่อัดแน่นลงสมองของเราไว้ มันเหมือนเป็นการอ่านเอาความรู้ด้วยวิธีลัด เพราะจากข้อมูลมากมายนั้นได้ถูกกลั่นกรองจากผู้เขียนลงมาไว้ในหนังสือแล้ว
ส่วนแนวหนังสือที่ผมชอบอ่านก็จะเป็นพวก Self-development อย่างตอนนี้ก็กำลังอ่านเรื่องราวเกี่ยวกับการ analysis เรื่อง post coronavirus อยู่ครับ นอกจากอ่านหนังสือ ก็ฟัง Podcast หรืออ่านบทความที่สรุปเนื้อหาในหนังสือตามแอปพลิเคชั่นต่าง ๆ อย่างตอนขับรถก็จะฟังพอดแคสต์เพราะรู้สึกเสียดายเวลาที่เสียไปตอนอยู่บนถนนช่วงที่รถติด ระยะทางจากบ้านไปทำงาน ไป-กลับบางครั้งก็กินเวลา 2 ชั่วโมงแล้ว ซึ่ง 2 ชั่วโมงนั้น เราสามารถฟังเรื่องราวดี ๆ หรือเรียนรู้อะไรจากการฟังพอดแคสต์ได้หลายเรื่องเลย
แล้วถ้าพูดถึงญี่ปุ่นจะนึดถึงอะไร หรือมีอะไรที่ชื่นชอบเกี่ยวกับญี่ปุ่นไหม
ผมชอบสตูดิโอจิบลิครับ ช่วงนี้กำลังไล่ดูให้ครบอยู่เลย ชอบหลาย ๆ เรื่องเลยครับ อย่าง Spirited Away หรือ Kiki’s Delivery Service ก็เป็นเรื่องที่ชอบมาก ส่วนแอนิเมชั่นอีกเรื่องที่ชอบมาก ๆ เหมือนกันก็คือ 5 Centimeters per Second ของมาโกโตะ ชินไค ตอนปี 2007 ครับ ชอบมากกก ผมดูไปเป็น 10 รอบได้
แล้วก็ชอบไปเที่ยวญี่ปุ่นด้วยครับ ไปได้ทุกเมืองเลย แต่ส่วนใหญ่จะไปช่วงอากาศเย็น ๆ เพราะเป็นคนขี้ร้อนและเหงื่อออกง่าย และถ้าพูดถึงญี่ปุ่น สิ่งแรกที่นึกถึงก็คือซูชิครับ ผมชอบกินมาก ๆ ๆ ๆ ๆ หน้าที่ชอบที่สุดก็คืออูนิ ผมเคยกินบุฟเฟ่ต์ซูชิที่ญี่ปุ่นด้วยนะ ตอนนั้นกินไปประมาณ 40 คำได้ จำได้ว่าแน่นมาก ๆ แต่เพราะชอบกินซูชิสุด ๆ ก็เลยจัดเต็มเลย (หัวเราะ) แล้วก็ชอบพวกยากิโทริ คุชิคัตสึ ชอบหมดเลยครับ เวลาได้กินอาหารญี่ปุ่นแล้วรู้สึกมีความสุขมาก ๆ เลยล่ะ
สุดท้ายนี้ ฝากอะไรถึงผู้อ่านดาโกะ รวมทั้งแฟน ๆ หน่อยจ้า
ขอบคุณแฟนคลับทุกคนมาก ๆ ครับ ทุกคนคือกำลังใจในการทำงาน คือแรงบันดาลใจ คือแรงผลักดันที่ทำให้ผมอยากจะพัฒนาและทำทุกอย่างให้ดีขึ้นเรื่อย ๆ ให้ทุกคนได้ภูมิใจที่คอยสนับสนุนผมครับ ยังไงก็ฝากติดตามผลงานเพลงและผลงานอื่น ๆ ของผมต่อไปด้วยนะครับ (ยิ้ม)
ติดตามและเป็นกำลังใจให้ “อัพ – ภูมิพัฒน์ เอี่ยมสำอาง” ได้ทาง
Facebook: Uppoompat Official
Instagram: Uppoompat
Twitter: Uppoompat
Youtube: Uppoompat
สัมภาษณ์และเรียบเรียง: ทัศวีร์ เจริญบุรีรัตน์
ช่างภาพ: sshinyamatsunaga
อ่าน “BALLISTIK BOYZ from EXILE TRIBE กับการมุ่งหน้าสู่ระดับอินเตอร์ เริ่มทำกิจกรรมในประเทศไทยตั้งแต่เดือนสิงหาคมนี้!” คลิก
“BALLISTIK BOYZ from EXILE TRIBE “บทเพลงภาษาไทย” คือสิ่งที่ถือเป็นความท้าทายสำหรับวง” คลิก